12 ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน

12 ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน

12 ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน

6 พฤษภาคม 2563 | เขียนโดย Pan Pho Team. –  ใช้เวลาในการอ่านประมาณ 10 นาที

เส้นแบ่งอันยิ่งใหญ่ระหว่างของคนรวยและคนจน  มันไม่ใช่แค่เรื่องของเงินในบัญชีของคนทั้งสองประเภท  แต่สิ่งที่สำคัญคือ “ความคิดและการกระทำ” ซึ่งเป็นตัวกำหนดความมั่งคั่งและความยากจน

ที ฮาร์ฟ เอคเคอร์ ผู้เขียนหนังสือ
“ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน” ที่ติดอันดับหนังสือขายดีในไทยและใน New York Time – ได้กล่าวไว้ว่า คุณสามารถเลือกที่จะเป็นคนรวยหรือเลือกเหยื่อของความยากจนได้  แต่คุณไม่สามารถเป็นได้ทั้งสองอย่าง เพราะคนรวยและคนจนมีวิธีคิดที่แตกต่างกันมาก  นี่คือ 12 เหตุผลว่าทำไมคนทั้งสองแบบจึงแตกต่างกันทั้งวิธีคิดและวิธีการใช้ชีวิต

1.คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อชัยชนะ คนจนเล่นเกมการเงินเพื่อที่จะไม่แพ้

คนส่วนใหญ่เล่นเกมการเงินด้วยวิธีการ “ตั้งรับ” จุดประสงค์หลักของพวกเขาคือ เพื่อความอยู่รอดและมั่นคงปลอดภัย  ไม่ใช่เพื่อความร่ำรวยและรุ่งเรือง  พวกเขาเพียงแต่อยาก “มีเงินพอสำหรับจ่ายใบแจ้งหนี้ต่างๆ เมื่อพวกเขาเจตนาแค่มีเงินพอจ่ายใบแจ้งหนี้  ก็จะมีเงินเท่านั้นจริงๆ ไม่มีทางเลยที่จะสามารถสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมาได้  เพราะพวกเขาไม่ได้ตั้งใจและปราถนาความมั่งคั่งร่ำรวย 

แต่สำหรับคนที่ต้องการเป็นคนรวย มีเจตนาที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง  นั่นคือ พวกเขาต้องการที่จะมีเงิน  สร้างความมั่งคั่งเพื่อชีวิตของเขาเองและช่วยเหลือคนจำนวนมาก ดังนั้นความตั้งใจ  ความทุ่มเท  และความเต็มใจที่จะทำทุกวิถีทางแม้จะยากลำบากเพียงใดเพื่อให้ผลลัพธ์ตามที่พวกเขาตั้งใจไว้

หนึ่งในหลักการที่ที ฮาร์ฟ ได้สอนผู้เข้าร่วมสัมมนา คือ “ถ้าคุณตั้งเป้าหมายที่จะไปให้ถึงดวงจันทร์  แต่หากไม่ถึงอย่างน้อยคุณก็อยู่ท่ามกลางดวงดาว”  แต่สำหรับคนจนนั้นกลัวแม้กระทั่งการจะตั้งเป้าหมายหรือฝันใหญ่   และพวกเขาก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมพวกเขาทำไม่สำเร็จ

ถ้าเป้าหมายของคุณคือการมีฐานะพออยู่ได้อย่างสบาย  เป็นไปได้มากที่คุณจะไม่มีทางร่ำรวย  แต่ถ้าเป้าหมายของคุณคือความร่ำรวย  คุณจะลงเอยอย่างสุขสบายมากทีเดียว


2.คนรวยทุ่มเทที่จะรวย คนจนแค่อยากรวย


เหตุผลอันดับแรกที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการก็เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ตัวเองต้องการอะไร?
คนรวยรู้อย่างแน่ชัดว่าตัวเอง ต้องการความมั่งคั่ง  พวกเขาไม่สับสนโลเลไปมา พวกเขามุ่งมั่นเต็มที่ที่จะสร้างฐานะ ตราบเท่าที่มันถูกกฏหมาย ศีลธรรมและถูกจรรยาบรรณ  พวกเขาจะทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำเพื่อความร่ำรวย คนรวยไม่ส่งสารอันสับสนสู่สวรรค์  มีแต่คนจนทั่วไปที่ทำกัน

คนรวยมุ่งมั่นที่จะร่ำรวย” คำจำกัดความของคำว่า “มุ่งมั่น” คือ “การทุ่มเทแบบไม่มียั้ง”  ซึ่งหมายถึงการทุ่มเทแบบไม่ถอยหลังกลับ  ทุ่มเทและทำ 100% ในทุกๆ เรื่องเพื่อที่คุณจะสำเร็จ

มันหมายถึงการเต็มใจที่จะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ นี่คือ วิถีของนักรบ ไม่มีข้อแก้ตัว ไม่มีถ้า ไม่มีแต่ ไม่มีบางที – และล้มเหลวก็ไม่ใช่ทางเลือก วิถีของนักรบนั้นเรียบง่าย “ฉันต้องรวยหรือมก็พยายามจนขาดใจตายกันไปข้างหนึ่ง”

จากประสบการณ์ของที ฮาร์ฟ เอเคอร์ การเป็นคนรวยนั้นต้องอาศัยความตั้งใจ ความกล้า ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ความพยายามแบบ100% ทัศนคติแบบไม่ยอมแพ้ และแน่นอน วีคิดแบบคนรวย

คุณเต็มใจที่จะทำงานวันละ 16 ชั่วโมงต่อวันได้ไหม  คนรวยเต็มใจ  คุณสามารถทุ่มเททำงานอาทิตย์ละเจ็ดวันและแทบไม่มีวันหยุดสุดสัปดาห์ได้ไหม?  คนรวยเต็มใจ คุณเต็มใจสละก็ไม่พบครอบครัว เพื่อน และงดสิ่งบันเทิงและงานอดิเรกทั้งหลายหรือเปล่า  คนรวยเต็มใจ  คุณเต็มใจจะเสี่ยงลงทุนทั้งเรื่องเวลา กำลังกายและใจ รวมทั้งเงินทุนเริ่มต้นโดยไม่มีหลักประกันว่าจะได้รับผลตอบแทนไหม? คนรวยพร้อมและเต็มใจ จะทำตามเงื่อนไขทุกข้อที่กล่าวมา  แล้วคุณล่ะ?

มันเรียบง่าย – คุณจะได้รับเงินในสัดส่วนโดยตรงกับมูลค่าตลาดที่คุณสร้างขึ้นในตลาด

คุณอยากให้ชีวิตของคุณเป็นอย่างไร? คุณอยากจะเล่นเกมแบบไหน? คุณอยากจะเล่นเกมใหญ่หรือเกมเล็กละ? อยากเป็นตัวหลักหรือตัวรองละ?คุณจะเล่นใหญ่หรือทำเล็กละ? คุณเต็มใจจะใช้ชีวิตของคุณที่ระดับ 10 หรือไม่ ? นั่นคือทางเลือกของคุณ

 ชีวิตของคุณไม่ได้หมายความแค่คุณ  มันเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้อื่น  มันหมายถึงการใช้ชีวิตอย่างแท้จริงเพื่อภารกิจและเหตุผลของการที่คุณอยู่บนโลกในเวลานี้  มันคือการเพิ่มชิ้นส่วนอีกชิ้นของจิ๊กซอว์ให้กับโลกใบนี้

คนส่วนใหญ่ติดกับในอีโก้ของตนเองและหลงคิดไปว่าทุกอย่างหมุนรอบตัวเขาเหล่านั้น  แต่ถ้าคุณอยากเข้าถึงดั่งแก่นแท้ของคำว่ารวยของโลกใบนี้   มันไม่ใช่แค่คุณ  มันจะรวมไปถึงการเพิ่มคุณค่าในชีวิตคนอื่นด้วย

ส่วนหนึ่งในภารกิจของชีวิตคุณนั้นคือ การแบ่งปันพรสวรรค์ที่คุณมีกับคนจำนวนมากเท่าที่จะเป็นไปได้  ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณเต็มใจที่จะเล่นเกมใหญ่

ผลพลอยได้คือยิ่งคุณให้ความช่วยเหลือคนมากเท่าไหร่ คุณยิ่ง “ร่ำรวย” ในจิตใจ อารมณ์ จิตวิญญาณ และ แน่นอนด้านการเงิน

3.คนรวยมุ่งความสนใจไปที่โอกาส คนจนมุ่งความสนใจไปที่อุปสรรค

คนจนนั้นเห็นโอกาสของความสูญเสียและถูกขับเคลื่อนด้วยเสียงของความกลัวในทุกสถานการณ์สมองของพวกเขาจะเฟ้นหาแต่ข้อผิดพลาดหรือสิ่งที่อาจกลายเป็นเรื่องผิดพลาด  ความคิดหลักๆ ในหัวของพวกเขาคือ “แล้วถ้ามันไม่ได้ผลล่ะ?” หรือที่บ่อยกว่านั้นคือ “มันไม่ได้ผลหรอก”

คนรวยนั้นเห็นโอกาสที่จะโตและรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ในชีวิตของตนเอง และทำสิ่งต่างๆ ด้วยความคิดในทำนองท่า “มันต้องได้ผลแน่เพราะฉันจะทำให้มันได้ผล” คนรวยนั้นมุ่งมั่นและลงมือทำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์นั้นมา

ถ้าคุณให้ความสนใจกับโอกาส แล้วคุณจะได้รับโอกาส แต่ถ้าคุณไปให้ความสนใจกับอุปสรรคแล้วล่ะก็  คุณก็จะได้รับอุปสรรคเช่นกัน

คุณควรใช้เวลาและพลังที่มีไปกับการคิดและลงมือทำ  ก้าวอย่างมั่งคั่งไปข้างหน้า ไปสู่เป้าหมายของคุณ

4.คนรวยชื่นชมผู้ร่ำรวยและประสบความสำเร็จคนอื่นๆ คนจนชิงชังผู้ร่ำรวยและประสบความสำเร็จ

คนจนมักมองความสำเร็จของผู้อื่นด้วยสายตาขุ่นเคือง อิจฉา และริษยา ดูราวกับพวกเขาเชื่อว่า คนรวยเป็นตัวการที่ทำให้พวกเขายากจน

คุณต้องตระหนักไว้ว่าถ้าคุณเห็นคนรวยเป็ฯคนเลว ไม่ว่าจะในเรื่องใด ด้านใด หรือรูปแบบใดก็ตาม และคุณอยากจะเป็นคนดี คุณก็ไม่มีทางร่ำรวยได้หรอก

มันเป็นไปไม่ได้ คุณจะเป็นในสิ่งที่คุณเกลียดชังได้อย่างไร?

ความจริงก็คือ การเกลียดชังคนรวยเป็ฯหน่งในหนทางที่จะนำไปสู่ความยากจน  ถ้าคุณอยากร่ำรวย  คุณต้องฝึกชื่นชมคนรวย สรรเสริญคนรวย และรักคนรวย

คุณควรยินดีกับสิ่งที่คุณต้องการ ถ้าคุณเห็นคนที่มีบ้านสวยๆ จงยินดีที่เขามีบ้านหลังนั้น ถ้าคุณเห็นคนมีรถ จงยินดีต่อเขาและรถของเขา  ถ้าคุณเห็นครอบครัวที่รักกัน ยินดีกับเขาและครอบของเขา ถ้าเห็นคนที่มีรูปร่างที่สวยงาม ยินดีกับคนๆนั้นและรูปร่างของเขา/เธอ

 ความจริงก็คือ การเกลียดชังคนรวยเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ความยากจน  ถ้าคุณอยากร่ำรวย  คุณต้องฝึกชื่นชมคนรวย สรรเสริญคนรวย และรักคนรวย วิธีนี้จะเป็นการปลูกฝังความเชื่อลงในจิตใต้สำนึกของคุณว่า  เมื่อคุณร่ำรวย คนอื่นจะชื่นชม สรรเสริญและรักคุณ ไม่ใช่รังเกียจคุณอย่างที่คุณอาจรู้สึกต่อคนรวยอยู่ในเวลานี้

ประเด็นคือ ถ้าคุณเกลียดในสิ่งที่คนอื่นมี ไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ ก็ตาม คุณก็จะไม่มีวันได้สิ่งนั้น

5.คนรวยเต็มใจโปรโมทตัวเองและคุณค่าของตนเอง คนจนมองการขายและโปรโมชั่นในแง่ลบ

คนรวยส่วนใหญ่มักเป็นนักโปรโมทตัวยง พวกเขาเต็มใจและสามารถโปรโมทสินค้า บริการ และไอเดียวของตนด้วยความกระตือรือร้นและมีไฟ 

คนรวยมักเป็นผู้นำ และผู้นำที่ยิ่งใหญ่ล้วนแต่เป็นนักโปรโมทที่ยอดเยี่ยม การเป็นผู้นำย่อมต้องมีผู้ตามและผู้สนับสนุน นั่นหมายความว่า หนึ่ง-คุณต้องช่ำชองด้านการขาย สอง-การสร้างแรงบันดาลใจ สาม-การจูงใจให้ผู้คนเชื่อในวิสัยทัศน์ของคุณ

คุณลองสำรวจตัวเองดูว่า  คุณมีอคติต่อการขายหรือไม่?

การมีอคติต่อการขายเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญสู่ความสำเร็จ คนที่มีทัศนคติด้านลบต่อการขายและโปรโมชั่นมักเป็นคนถังแตก

คนเรามีอคติต่อการขายหรือโปรโมชั่นด้วยเหตุผลที่หลากหลาย เป็นไปได้ว่าปัญหาของคุณอาจคล้ายคลึงกับข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายๆ ข้อต่อไปนี้

ข้อแรก-คุณอาจเคยมีประสบการณ์อันเลวร้ายในอีดตกับคนที่พยายามขายสินค้าให้คุณ

ในลักษณะ “ยัดเยียด” หรือ “บังคับ” แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  คุณต้องตระหนักว่าประสบการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในอีดตและการยึดติดอยู่กับมันอสขไม่ส่งผลดีต่อคุณในวันนี้

ข้อสอง-คุณอาจเคยประสบเหตุการณ์ที่บั่นทอนกำลังใจคุณอย่างรุนแรง เมื่อคุณพยายามขายอะไรก็ตามให้ใครสักคน  แล้วถูกคนๆ นั้นปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง  จงเตือนตัวเองอีกครั้งว่าอดีตไม่จำเป็นต้องเหมือนปัจจุบันเสมอ

ข้อสาม-ปัญหาของคุณมีต้นตอมาจากการถูกอบรมเลี้ยงดูในวัยเด็ก  เราหลายคนถูกสอนมาว่า “การยกหางตัวเอง” เป็นเรื่องไม่สมควร  แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงในเรื่องธุรกิจเรื่องเงินๆ ทองๆ ถ้าคุณไม่โปรโมทตัวเอง รับประกันได้เลยว่าไม่มีใครมาช่วยคุณได้ตลอดไปหรอก

ข้อสุดท้าย-มีคนประเภทหนึ่งที่รู้สึกว่า การโปรโมทตนเองไม่คู่ควรกับพวกเขา  คนที่มีทัศนคติเช่นนี้จะรู้สึกว่าถ้าคนอื่นอยากได้ในสิ่งที่คุณมี  พวกเขาก็น่าจะค้นหาและเป็นฝ่ายเข้ามาหาคุณเอง  คนที่เชื่อแบบนี้ถ้าไม่สิ้นเนื้อประดาตัวไปแล้วก็คงจะถังแตกในไม่ช้าอย่างแน่นอน

6.คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก คนจนมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่

คนจน คนล้มเหลว พยายามทำทุกวิถีทางที่จะหลบเลี่ยงปัญหา ซึ่งการกระทำนี้อยู่ตรงกันข้ามกับ “ความสำเร็จ”  การหนีปัญหา หลีกเลี่ยง หรือดิ้นให้หลุดจากปัญหา ไม่อาจทำให้ชีวิตดีขึ้นได้  แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่สร้างปัญหา ความผิดพลาด สูญเสีย

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จไม่ใช่พยายามหลีกเลี่ยง ปัดหรือหันหลังให้กับปัญหา สิ่งที่ต้องทำคือ พัฒนาตนเองให้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกปัญหา

ถ้าคุณมีปัญหาใหญ่ในชีวิต นั่นหมายถึงคุณนั้นเป็นแค่กำลังเป็นตัวเล็ก!

ยิ่งคุณสามารถรับมือกับปัญหาที่ใหญ่ขึ้นเท่าไหร่  คุณก็จะสามารถจัดการกับธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเท่านั้น  

ยิ่งคุณสามารถรับผิดชอบได้มากแค่ไหน  คุณก็จะบริหารลูกน้องได้มากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งคุณสามารถดูแลลูกค้าได้มากเท่าไหร่  คุณก็จะสามารถดูแลเรื่องเงินๆ ทองๆ ได้มากขึ้นเท่านั้น 

และในที่สุดคุณก็จะรับมือกับความมั่งคั่งได้มากขึ้นเรื่อยๆ

คนรวยนั้นใช้เวลาและพลังงานไปกับการวางกลยุทธ์และวางแผนเพื่อหาคำตอบในการเอาชนะปัญหา  รวมถึงสร้างระบบที่ให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดปัญหาเดิมขึ้นมาอีก

ลองคิดว่าตัวคุณนั้นเป็นภาชนะที่บรรจุความมั่งคั่ง ถ้าภาชนะนี้เล็กและเงินที่เข้ามาหาคุณใหญ่กว่าภาชนะ จะเกิดอะไรขึ้น?  

คุณจะรับเงินได้เท่ากับภาชนะที่คุณมี  เงินส่วนที่เหลือจะล้นออกมานอกภาชนะ  แน่นอนว่าคุณไม่สามารถเก็บเงินได้มากกว่าภาชนะที่คุณมี

ดังนั้นคุณต้องสร้างภาชนะที่บรรจุความมั่งคั่งของคุณให้ใหญ่ขึ้น   ผลลัพธ์คือ เมื่อภาชนะที่บรรจุความมั่งคั่งมีขนาดใหญ่ขึ้น  ไม่เพียงแต่คุณจะสามารถสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยได้มากขึ้น คุณยังเป็นคนที่ดึงดูดความมั่งคั่งด้วย

7.คนรวยเป็นผู้รับที่ยอดเยี่ยม คนจนเป็นผู้รับที่ยอดแย่

หลายคนรู้สึกว่าตนเองด้อยค่าหรือไม่คู่ควร และเป็น “ผู้รับที่ยอดแย่”

ทำไมความรู้สึกนี้ถึงสำคัญ?

เพราะถ้าคุณไม่เต็มใจที่จะรับ เท่ากับคุณกำลัง “ทำร้าย” คนที่อยากจะให้คุณ  มันกีดกันคุณไม่ให้ “ผู้ให้”  มีความสุขและความสบายใจจากการให้ และทำให้ “ผู้ให้” รู้สึกแย่

ทุกอย่างคือพลังงาน และเมื่อคุณอยากให้แต่ไม่สามารถให้ได้  พลังงานนั้นก็ไม่สามารถระบายออกมาและติดค้างอยู่ในตัวคุณ พลังงานที่ “ติดค้าง” อยู่จะกลายเป็นอารมณ์ด้านลบ ที่เลวร้ายไปกว่านั้น  เมื่อคุณไม่เต็มใจจะเป็น “ผู้รับ” เท่ากับคุณกำลังบอกจักรวาลว่าอย่าส่งอะไรมาให้คุณอีก!  ถ้าคุณไม่ยินดีที่จะรับส่วนแบ่งของคุณ มันก็จะถูกส่งไปให้คนที่เต็มใจจะรับ นั่นคือหนึ่งในเหตุผลทีคนรวยร่ำรวยขึ้นเรื่องๆ ส่วนคนจนก็ยากจนลง  ไม่ใช่เพราะคนรวยมีมากกว่า  แต่เป็นเพราะพวกเขาเต็มใจที่จะรับ ขณะที่คนจนส่วนใหญ่ไม่เต็มใจจะรับ

มันจะไม่ดีกว่าหรือถ้าคุณจะสร้างฐานะอันมั่งคั่งให้กับตัวเองและสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างแท้จริง ด้วยความเข้มแข็งไม่ใช่ความอ่อนแอ?

จงใช้โอกาสที่คุณมีให้เต็มที่  สร้างฐานะให้ร่ำรวยแล้วช่วยเหลือคนที่ไม่มีโอกาสเหมือนอย่างคุณ  ซึ่งนั่นฟังดูมีเหตุผลมากกว่าการเป็นคนถึงแตกและไม่สามารถช่วยใครได้เลย

แล้วจะเริ่มอย่างไรดี? คุณจะหัดเป็นผู้รับที่ดีได้อย่างไร?

ก่อนอื่น จงเริ่มต้นด้วยการฝึกฝนตัวเอง คุณควรฝึกฝนการรับสิ่งที่ดีที่สุดที่ชีวิตมอบให้อย่างมีสติ  หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการฝึกเป็นผู้รับโดยไม่รู้สึกผิดคือ  การมีบัญชีเงิน “ใช้เล่น” (จากระบบการบริหารเงินแบบ 6 กระปุก)  ที่สามารถให้คุณใช้เงินจำนวนหนึ่งไปกับข้างของต่างๆ ตามใจคุณ ซึ่งจะทำใหคุณ “รู้สึกราวกับมีเงินล้าน” บัญชีที่ว่านี้มีไว้สร้างเสริมความรู้สึกมีค่าและสร้างความแข็งแกร่งของจิตใจ

หากคุณต้องการมั่งคั่งและร่ำรวย เริ่มฝึกเป็น “ผู้รับ” ที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่วันนี้!

  1. คนรวยเลือกที่จะได้รับเงินตามผลงาน คนจนเลือกที่จะได้รับเงินตามระยะเวลาที่ทำงาน

การใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความมั่นคงไม่ต่างไปจากการใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความกลัว

คนรวยชอบที่จะรับเงินตามผลงานของพวกเขามากกว่า คนรวยมักมีธุรกิจเป็นของตัวเองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง  พวกเขามีรวยได้จากผลกำไรของธุรกิจ 

คนรวยมักทำงานในระบบที่ให้ค่าคอมมิชชั่นหรือได้รับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้ 

คนรวจเชื่อในตัวเอง พวกเขาเชื่อในคุณค่าและความสามารถในการสร้างคุณค่าของตัวเอง

ขณะที่คนจนไม่เชื่อ  นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาต้องการ “หลักประกัน”

คนจนแลกเวลากับเงิน วิธีนี้มีข้อจำกัดเพราะเวลาของคุณจะมีจำกัด 

เมื่อคุณเข้าใจหลักการนี้แล้ว  ลองพิจารณาทางเลือกในการหารายได้ตามผลงานแทนที่จะแลกกับเวลาเพื่อคุณจะได้มีโอกาสสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยได้เร็วขึ้น

9.คนรวยเก่งเรื่องการบริหารเงิน คนจนเก่งเรื่องการบริหารเงินแบบผิดๆ

คนรวยไม่ได้ฉลาดไปกว่าคนจน  เพียงแต่พวกเขามีนิสัยในด้านการเงินที่แตกต่างและเอื้อต่อการสร้างความมั่งคั่งมากกว่า 

คนจนนั้นถ้าไม่บริหารเงินอย่างผิดวิธี  ก็มักหลีกเลี่ยงมันไปเลย  ผู้คนไม่ชอบบริหารเงินด้วยเหตุผลหลักๆ เพียงสองข้อ

ข้อแรก-พวกเขาบอกว่ามันเป็นการจำกัดอิสรภาพ 

การบริหารเงินไม่ได้จำกัดอิสรภาพของคุณแม้แต่น้อย  ตรงกันข้าม มันให้อิสระแก่คุณต่างหาก  การบริหารเงินจะช่วยให้คุณได้รับอิสรภาพทางการเงินได้ในที่สุด

ข้อสอง-พวกเขาบอกว่าตัวเองไม่มีเงินมากขนาดที่จำเป็นต้องบริหาร

ถ้าจะรอให้มีเงินมากก่อนแล้วจะเริ่มบริหารเงิน  นั่นเป็นความคิดและความเชื่อที่ผิด  เพราะคนที่ร่ำรวยจะ “เริ่มบริการเงิน ถึงได้มีเงิน” 

หากคุณไม่สามารถบ่มเพาะนิสัยและทักษะในการบริหารเงินก้อนเล็กๆ ก่อนที่จะมีเงินก้อนใหญ่  หากคุณมีโอกาสได้เงินก้อนใหญ่มา คุณก็จะเสียมันไปในที่สุด  การฝึกทักษะและความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินจึงเป็นสิ่งที่คุณต้องทำอย่างสม่ำเสมอ  คุณควรจะมีบัญชีแยกประเภทของการใช้เงินสิ่งสามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้จาก “ระบบบริหารเงินแบบ 6 กระปุก” ซึ่งที ฮาฟ เอเคอร์ได้เผยแพร่วิธีการบริหารเงินที่ง่ายที่สุดในโลก และช่วยคนทั่วโลกให้สามารถมั่งคั่งร่ำรวยได้จริง

ดังนั้น “การบริหารเงินจนเกลายเป็นนิสัย  ย่อมมีความสำคัญมากกว่าจำนวนเงินที่เราบริหาร”

10.คนรวยให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวเอง คนธรรมดาทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน

การทำงานหนักเป็นเรื่องสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย  แต่การทำงานหนักอย่างเดียวไม่มีทางทำให้คุณรวยได้

คุณมี “สองวิธี” ให้เลือกในการสร้างความร่ำรวย  นั่นคือ

หนึ่ง-คุณต้องมีรายได้มากขึ้น

สอง-คุณต้องเงินน้อยลง

คนจนมักเลือกข้อที่สอง  เพราะพวกเขาคิดว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาควบคุมได้และจัดการได้ง่ายกว่าข้อสอง  การมีรายได้เท่าเดิม  แต่ลดการใช้เงินลงเป็นสิ่งที่ดี  แต่ในขณะเดียวกันคุณจำเป็นต้องตัดความสบาย และความสุขสำหรับตนเองและคนที่คุณรัก  ซึ่งอาจจะดีในระยะสั้น  แต่ในระยะยาวแล้วรายได้ที่เท่าเดิมไม่สามารถเติมเต็มชีวิตและทำให้คนที่คุณรักมีความสุข  อีกทั้ง คุณต้องทำงานเพื่อเงิน และประหยัดไปจนถึงความสุดท้ายของชีวิต  แค่คิดก็หดหู่แล้ว

คนรวยจะเต็มใจเลือกข้อที่หนึ่ง  เพราะพวกเขาเชื่อว่า ถึงแม้จะไม่สามารถควบคุมผลลัพธ์ว่าจะหารายได้มากขึ้นได้อย่างไร  แต่พวกเขาก็เต็มใจทำทุกทางที่จะทำให้มีรายได้มากขึ้น  ลงมือทำอย่างไม่ลดละ  และก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย  พวกเขาเลือกที่จะใช้เงินให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์  รวมทั้งนำรายได้ที่หาได้มากขึ้นมาบริหารจัดการ  ด้วยการหาความรู้ด้านการเงินเพื่อ ให้เงินทำงานให้พวกเขา โดยการสร้างดอกผลและเงินตอบแทนให้งอกเงยโดยการนำไปลงทุนและให้เงินทำงานให้พวกเขาในระยะสั้นและระยะยาว

ลองจินตนาการดูว่าหากเวลาผ่านไป 10 ปี  คนจนที่เลือกประหยัดและใช้เงินน้อยลงจะมีชีวิตหดหู่แค่ไหนยังต้องทำงานเพื่อเงิน  ในขณะที่คนที่เลือกหารายได้มากขึ้นในทุกๆ ปี  จะมีชีวิตที่สามารถกำหนดเองได้และให้เงินทำงานหนักให้พวกเขาแทน

11.คนรวยมุ่งไปข้างหน้าแม้จะหวาดกลัว คนจนปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตนเอง

ความกลัว ความไม่แน่ใจ และความกังวลเป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ที่สุด  ไม่เพียงแต่ในแง่ของความสำเร็จเท่านั้น  แต่ยังรวมถึงความสุขของคุณด้วย  เพราะฉะนั้น หนึ่งในข้อแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างคนรวยกับคนจนก็คือ คนรวยเต็มใจลงมือทำแม้จะหวาดกลัว  แต่คนจนปล่อยให้ความกลัวขัดขวางพวกเขา

 

คุณต้องเข้าใจเสียก่อนว่าคุณสามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่จำเป็นต้องขจัดความกลัว  คนรวยและผู้ที่ประสบความสำเร็จก็มีความกลัว  ความไม่แน่ใจ  และความกังวลเช่นกัน  เพียงแต่พวกเขาไม่ปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นมาหยุดยั้งตนเอง  ส่วนผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จมีความกลัว  ความไม่แน่ใจ  และความกังวล แล้วก็ยอมให้ความรู้สึกเหล่านี้เขาครอบงำ  จำไว้ว่า “คุณสามารถประสบความสำเร็จได้  โดยไม่จำเป็นต้องขจัดความกลัว”

 การสร้างฐานะให้ร่ำรวยไม่ใช่เรื่องที่ทำได้สบายๆ มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ อันที่จริงการสร้างความมั่งคั่งอาจเป็นเรื่องแสนสาหัสทีเดียว

คนรวยไม่ตัดสินใจทำอะไรเพราะเห็นแก่ความง่ายดายหรือความสะดวก  พวกเขาเข้าใจและยินดีทำในสิ่งที่ยากเพราะเขารู้ดีว่า

“ถ้าเต็มใจทำเรื่องง่าย ชีวิตก็จะกลายเป็นเรื่องยาก”
“ถ้าเต็มใจทำเรื่องยาก ชีวิตก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย”

12.คนรวยเลือก “ทั้งสองทาง” คนจนเลือก “ทางใดทางหนึ่ง”

คนรวยอยู่ในโลกแห่งความพรั่งพร้อม คนจนอยู่ในโลกแห่งข้อจำกัด ซึ่งทั้งคู่อยู่ในโลกใบเดียวกัน แต่ความแตกต่างกันนั้นอยู่ที่มุมองของพวกเขา 

คนจนส่วนใหญ่มาจากพื้นเพที่ยากลำบาก  คนจนใช้ชีวิตโดยมีทัศนคติว่า “ไม่มีอะไรที่เพียงพอสำหรับทุกคนบนโลกใบนี้หรอก และเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะมีพร้อมทุกอย่าง” คนจนจึงมักเลือกเพียงอย่างเดียว

คนรวยเข้าใจว่า ด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพียงเล็กน้อย  ย่อมสามารถคิดหาหนทางเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดทั้งสองด้านแทบทุกครั้ง  คนรวยจึงเลือกทั้งสองอย่าง

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง คำถามสำคัญที่คุณต้องถามตัวเอง คือ “ฉันจะมีทั้งสองอย่างได้อย่างไร”  คำถามนี้จะเปลี่ยนชีวิตคุณ

มันจะเปลี่ยนคุณจากชีวิตที่ขาดแคลนและเต็มไปด้วยข้อจำกัดไปสู่สรวงสวรรค์ที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นไปได้และความอุดมสมบูรณ์

ถ้าคุณต้องการมีชีวิตที่ปราศจากขีดจำกัด  ไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม  จงปล่อยวางความคิดที่จะเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  และมั่งมั่นกับความตั้งใจที่จะมี “ทั้งสองอย่าง”

.

หากคุณอยากเปลี่ยน Mindset และพฤติกรรมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า พร้อมเรียนรู้เทคนิคการสร้างความสำเร็จทางชีวิตและการเงิน ทางเราขอแนะนำ สัมมนา Millionaire Mind Intensive สัมมนาที่อัดแน่นด้วยความรู้ ประสบการณ์ และเคล็ดลับตลอด 3 วัน ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตและการเงินของคุณไปตลอดกาล >> สนใจกด Banner ด้านล่างได้เลย!

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

ทางลัดสู่ความสุขง่ายๆ ที่เจ้าของธุรกิจทุกคนมีอยู่แล้ว (แต่ไม่เคยรู้ตัว)

ทางลัดสู่ความสุขง่ายๆ ที่เจ้าของธุรกิจทุกคนมีอยู่แล้ว (แต่ไม่เคยรู้ตัว)

ทางลัดสู่ความสุขง่ายๆ ที่เจ้าของธุรกิจทุกคนมีอยู่แล้ว (แต่ไม่เคยรู้ตัว)

24 กุมภาพันธ์ 2563 | เขียนโดย Pan Pho Team.

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าของธุรกิจจะรู้สึกเครียด เพราะปัญหามากมายรอบตัว วันนี้เราจะมาแนะนำทางลัดง่ายๆที่จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถมีความสุขได้และสร้างผลลัพธ์ได้แบบไม่ต้องรอให้คุณร่ำรวย

เจ้าของธุรกิจเคยสังเกตไหมว่า ตัวเองใช้เวลากับการทำงานเยอะเกินไปหรือเปล่า? จากสถิติของจีเอฟเค ประเทศไทย บริษัทวิจัยทางการตลาด ได้เผยการศึกษาถึงไลฟ์สไตล์การทำงานของคนในเอเชีย 21 ประเทศ พบว่า โดยปกติคนเอเชียใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงานเสียเป็นส่วนใหญ่

แต่ถ้าเปรียบเทียบประเทศอื่นในเอเชีย ประเทศไทยมีชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยสูงที่สุด คือ 50.9 ชั่วโมง/สัปดาห์ เลยทีเดียว ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอื่นๆ ทั้งในอาเซียนและภูมิภาคเอเชีย

.

ดังนั้น หากเราใช้เวลาในการทำงานเสียเป็นส่วนใหญ่ เราจำเป็นที่จะต้องแน่ใจว่างานที่คุณทำนั้น มีผลดีต่อสุขภาพจิตและชีวิตของคุณ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “งานที่คุณทำนั้นทำให้คุณมีความสุขจริงหรือเปล่า?”

โดยเฉลี่ยแล้วนั้น คนไทยส่วนใหญ่ที่มีธุรกิจหรือทำงานนั้น มักจะใช้เวลามากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวันในการเดินไปที่ทำงาน หรือคิดง่ายๆคือ ในแต่ละปี คุณจะต้องอยู่บรถยนต์มากกว่า 1095 ชั่วโมง เพื่อเดินไปทำงาน 8 ชั่วโมงและกลับบ้านนอน .. ในขณะที่คนบางคนนำเวลาเหล่านั้นไปอยู่กับครอบครัว คนที่พวกเขารัก หรือแม้แต่นำเวลาเหล่านั้นไปพักผ่อน

เวลาเป็นสิ่งที่ไม่ว่าคุณจะร่ำรวยหรือยากจน ทุกๆคนบนโลกนี้มีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างคนที่มีความสุขกับการทำงานและคนที่มีความทุกข์กับการทำงานนั้น เป็นเรื่องของการตั้งคำถามง่ายๆให้กับตัวเองที่ว่า

“ฉันมีมุมมองเกี่ยวกับความสุขในงานของฉันอย่างไร??”

คนส่วนใหญ่มักมีมุมมองเกี่ยวกับความสุขว่า “หาเงินได้เยอะๆ แล้วเดี๋ยวก็คงมีความสุขเอง” ซึ่งนั่นคือความคิดที่คนธรรมดาส่วนใหญ่มักมี เมื่อเราพูดถึงเรื่องมุมมองของความสุขในการทำงาน

แต่หากเราลองมองย้อนกลับไปที่คนที่ประสบความสำเร็จต่างๆ ทั่วโลก คุณอาจจะประหลาดใจกับวิธีคิดเกี่ยวกับการทำงานที่แตกต่างจากคนทั่วๆไปอย่างสุดขั้ว

.

นั่นก็คือ เขาเริ่มต้นจากความสุขง่ายๆ ในชีวิตประจำวันของเขาและมุมมองในการทำงานของพวกเขาคือการไล่ตามความฝันและความท้าทายของพวกเขา มากกว่าการไล่ตามหาเงินทอง

และในวันนี้ เรานำวิธีการสร้างความสุขจากการทำงานอย่างง่ายๆ ที่เจ้าของธุรกิจสามารถรเริ่มต้นทำได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้คุณมีเงินเยอะๆ

ทางลัดสู่ความสุขง่ายๆ ที่เจ้าของธุรกิจทุกคนมีอยู่แล้ว (แต่ไม่เคยรู้ตัว)

ทางลัดสู่ความสุข วิธีที่ 1: ปรับ Mindset สร้างความสุข

ก่อนอื่นเจ้าของธุรกิจต้องทำความรู้จักและเข้าใจกับคำว่า Mindset ก่อนว่ามันคืออะไร?

“Mindset” หรือ “วิธีคิด” คือ ความคิดที่ส่งผลต่อพฤติกรรม ซึ่งบางครั้งคุณทำไปโดยไม่รู้ตัว ทำด้วยความเคยชิน เพราะว่ามันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก ซึ่งอาจจะเกิดจากประสบการณ์ที่คุณผ่านมา คำสอนของคนรอบตัว หรือสถานการณ์ต่างๆรอบตัวคุณ

ในสัมมนา Millionaire Mind Intensiveได้พูดถึงที่มาของ Mindset ของคนว่า โดยส่วนมากแล้ว Mindset ของมนุษย์มักมาจาก 3 ปัจจัย คือ

1. คำพูดที่เจ้าของธุรกิจเคยได้ยินจนฝังหัว – ยกตัวอย่างเช่น “ทำงานหนักเพื่อที่จะได้มีเงิน แล้วเดี๋ยวสบายนะ” หรือคำพูดง่ายๆที่คนรอบตัวของคุณมักพูดให้คุณฟังอย่างสม่ำเสมอ

2. ต้นแบบที่เจ้าของธุรกิจเคยเห็น – ยกตัวอย่างเช่น ไอดอลที่คุณเคารพนับถือ หรือคนใกล้ตัวที่ส่งผลต่อวิธีคิดและการตัดสินใจของคุณ ที่มีผลลัพธ์ด้านการเงิน ความรัก ความสำเร็จอย่างชัดเจน จนคุณอยากจะเป็นเหมือนกับเขา

3. เหตุการณ์ฝังใจที่เจ้าของธุรกิจเคยมีประสบการณ์ – ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ในวัยเด็ก ที่อาจจะส่งผลมาถึงวิธีการที่คุณตัดสินใจมาจนถึงทุกวันนี้ โดยอิงจากผลลัพธ์หรือความรู้สึก และอารมณ์ ที่เกิดขึ้นจากช่วงเวลานั้นๆ

จากทั้ง 3 ปัจจัยนี้ หล่อหล่อมเป็น Mindset และส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเจ้าของธุรกิจและมุมมองที่คุณมีเกี่ยวกับความสุขผ่านการทำงานของคุณ

มีคำกล่าวจาก T.Harv Eker ผู้เขียนหนังสือ The Secret of Millionaire Mind และนักธุรกิจที่ค้นพบหลักการ Money Mindset ว่า “คนประสบความสำเร็จจะทำงานเพื่อเอาคุณค่าและผลลัพธ์ของตัวเองแลกกับเงิน ในขณะที่คนทั่วไปมักเอาเวลาไปแลกกับเงิน”

.

ปกติแล้ว Mindset ของคนส่วนใหญ่มักใช้เวลาและทุ่มเทไปกับการทำงานตั้งแต่เช้าถึงมืดค่ำ ทำวนไปเรื่อยๆ ทุกวัน ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนเอาเวลาของเขาไปแลกเป็นเงินจนหมดแล้ว ไม่มีเวลาพักผ่อน หรือหาความสุขให้กับตัวเอง

.

แต่ขณะเดียวกัน Mindset ของคนที่ประสบความสำเร็จมักคิดว่า พวกเขามีคุณค่าหรือความสามารถอะไรที่ให้กับองค์กรได้ แทนที่จะเอาเวลาเข้าแลก เขาจะเอาความสามารถเข้าแลกเป็นเงิน และยิ่งเขาสร้างคุณค่าให้กับองค์กรมากเท่าไหร่ ยิ่งได้เงินมากเท่านั้น ที่สำคัญคนประสบความสำเร็จมักเอาเวลาไปสร้างความสุขเสียมากกว่า

คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำงานหนักวันละหลาย 10 ชั่วโมงเพื่อที่คุณจะได้มีเงินมากและมีความสุข เพียงแค่คุณเปลี่ยน Mindset หรือวิธีคิดเพียงนิดเดียว คุณก็สามารถสร้างผลลัพธ์ทั้งชีวิตและการเงินของคุณได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

.

สรุป: Mindset หรือวิธีคิด จะเป็นตัวจัดการระบบความคิดของคุณและทำให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ ดังนั้น การปรับ Mindset ให้ถูกต้อง ก็สามารถทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยน เจ้าของธุรกิจจะเก่งขึ้น ร่ำรวยขึ้น มีความสุขกับการทำงานมากขึ้น และประสบความสำเร็จได้มากขึ้น ซึ่งการจะสร้างความสุขง่ายๆ ที่เจ้าของธุรกิจสามารถทำได้ คือ การเริ่มเปลี่ยน Mindset ที่ตัวเจ้าของธุรกิจนั่นเอง

ทางลัดสู่ความสุข วิธีที่ 2: มองเห็นและเข้าใจคุณค่าในตัวเอง

คุณเคยได้ยินประโยคนี้ไหม? ไม่มีใครในโลกจะสร้างความสุขให้ตัวคุณได้ นอกจากตัวคุณเอ” เป็นเรื่องจริงที่ว่า ไม่มีใครสามารถสร้างความสุขให้เจ้าของธุรกิจได้ดีไปกว่าตัวเจ้าของธุรกิจเอง

จริงอยู่ที่คุณอาจจะมีลูกน้อง และคนอื่นๆในองค์กรมาช่วยคุณทำงานให้เสร็จเร็วยิ่งขึ้น แต่หากคุณยังมีมุมมองที่ว่า ต้องพึ่งพาคนอื่นๆ เพื่อให้คุณทำงานเสร็จ คุณก็จะต้องหวังพึ่งพิงผู้อื่นอยู่ร่ำไป 

ซึ่งวิธีการที่จะสร้างความสุขที่ยั่งยืนที่สุดนั้นจะต้องเกิดขึ้นจากภายในตัวของคุณเอง เพราะต่อให้เวลาเปลี่ยนแปลงออกไป เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปสักเพียงไหน คุณก็จะยังสามารถสร้างความสุขได้จากมุมเล็กๆ ในทุกๆสถานการณ์เสมอ ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะเลวร้ายสักเพียงไหนก็ตาม

คุณอาจจะมีวันเวลาที่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการแก้ไขปัญหา และดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางจบลง หรือคุณอาจจะเบื่อหน่ายกับการทำงานที่จำเจของคุณ แต่อย่าลืมที่จะให้คุณค่ากับตัวคุณเองด้วยการเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณทำ และถามตัวเองอย่างสม่ำเสมอว่า

นี่คือสิ่งที่ตอบโจทย์ต่อคุณค่าของตัวเองหรือเปล่า?

.

เราขอยกตัวอย่างง่ายๆที่เรามักทำกันในสัมมนา Millionaire Mind Intensive ที่เราจัดขึ้นทุกๆปี เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าของเรานั้นได้เดินทางไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการจริงๆ

ในสัมมนา เรามักจะพูดถึงคำว่า “คุณค่า” ที่อยู่ใกล้ๆตัวเจ้าของธุรกิจมากเสียจนเราลืมไปแล้ว นั่นก็คือ การนำความหลงไหล (Passion) และความเชี่ยวชาญ (Expertise) มารวมเข้าด้วยกันและสร้างออกมาเป็นวิธีคิดแบบใหม่ที่จะขับเคลื่อนชีวิตและธุรกิจของคุณอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

.

สรุป: วิธีการเห็นคุณค่าตัวเองที่ง่ายที่สุด คือ การเห็นคุณค่าและความสามารถในตัวเอง อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ การรู้ว่าคุณสามารถทำอะไรได้ดีและนำสิ่งนั้นมาต่อยอด โดยต้องมีจุดมุ่งหมายของการทำงานที่ชัดเจน เพื่อให้เจ้าของธุรกิจประสบความสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าการประสบความสำเร็จ คือ การที่เจ้าของธุรกิจเห็นคุณค่าในตัวเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เป็นธรรมดาที่เจ้าของธุรกิจจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและไม่มีความสุข ไหนจะเจอทั้งปัญหาการทำงานหนัก ปัญหารถติด หรือปัญหาต่างๆ ในที่ทำงาน จนเกิดอาการหมดไฟ แต่เจ้าของธุรกิจต้องมีวิธีการรับมือกับอาการหมดไฟเหล่านี้ โดยการเติมเชื้อไฟในการทำงานขึ้นมาใหม่ด้วยความสุข ซึ่งทางลัดทั้ง 2 วิธีข้างต้นนั้น

เป็นวิธีการหาความสุขอย่างง่ายๆ ที่เจ้าของธุรกิจทุกคนมีอยู่แล้ว (แต่ไม่เคยรู้ตัว) เพราะการหาความสุขที่ง่ายที่สุด คือ การหาความสุขจากตัวคุณเอง และการสร้างความสุขที่ง่ายและดีที่สุด คือ การสร้างความสุขจากตัวคุณเองด้วยการเปลี่ยน Mindset ให้ถูกต้องและการเห็นคุณค่าในตัวเองนั่นเอง

.

หากคุณอยากเปลี่ยน Mindset และพฤติกรรมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า พร้อมเรียนรู้เทคนิคการสร้างความสำเร็จทางชีวิตและการเงิน ทางเราขอแนะนำ สัมมนา Millionaire Mind Intensive สัมมนาที่อัดแน่นด้วยความรู้ ประสบการณ์ และเคล็ดลับตลอด 3 วัน ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตและการเงินของคุณไปตลอดกาล >> สนใจกด Banner ด้านล่างได้เลย!

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

Business Experts Ep.3 – “Passion to Profit : ทำในสิ่งที่ใช่…ยังไงก็รุ่ง” | คุณอุรุดง จงธนาตระกล

Business Experts Ep.3 – “Passion to Profit : ทำในสิ่งที่ใช่…ยังไงก็รุ่ง” | คุณอุรุดง จงธนาตระกล

Business Expert Ep.3 – “Passion to Profit : ทำในสิ่งที่ใช่…ยังไงก็รุ่ง

19 กุมภาพันธ์ 2563 | จัดทำโดย Pan Pho Production.

Passion to Profit คืออะไร?

พบกับ คุณอุรุดง จงธนาตระกล สถาปนิกเจ้าของธุรกิจ “Just Sketch” ที่จะพาคุณไปรู้จักกับความหมายของคำว่า Passion to Profit เขาสามารถทำในสิ่งที่ชอบให้กลายเป็นธุรกิจที่ใช่ได้อย่างไร? เคล็ดลับของเขาคืออะไร? ติดตามได้ในคลิป VDO นี้

ติดตาม Business Experts ได้ทุกวันพุธเว้นพุธ เวลา 19:00 น.ได้ทาง PanPho.com

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

4 วิธีคิดที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจ สร้างยอดขายแบบก้าวกระโดด โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม

4 วิธีคิดที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจ สร้างยอดขายแบบก้าวกระโดด โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม

4 วิธีคิดที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจ สร้างยอดขายแบบก้าวกระโดด โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม

17 กุมภาพันธ์ 2563 | เขียนโดย Pan Pho Team.

เมื่อต้องการเพิ่มยอดขายก็ต้องเริ่มต้นที่ “การขาย” และเจ้าของธุรกิจคือ บุคคลแรกที่ต้องมีวิธีคิดและทัศนคติที่ดีและถูกต้องกับการขายก่อน  ลูกน้องหรือคนในทีมถึงจะร่วมแรงร่วมใจสร้างยอดขายไปด้วยกัน เพียงปรับเปลี่ยนวิธีคิดตามที่คุณจะได้อ่านในบทความนี้ ก็สามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณเปลี่ยนผลลัพธ์และเพิ่มยอดขายได้แบบก้าวกระโดด  

 “ฉันไม่ชอบการขาย” หรือ “ฉันขายของไม่เป็น แล้วอย่างนี้ฉันจะเริ่มต้นทำธุรกิจได้อย่างไร” เจ้าของธุรกิจหลายคนอาจจะเครียดและกังวลกับปัญหานี้ แต่คุณเชื่อไหมว่า? ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์อยู่กับการขายมาตั้งแต่เกิด ซึ่งการขายไม่จำเป็นจะต้องเป็นสินค้า สิ่งของ หรือการบริการ เพราะการขายนั้นเกิดขึ้นได้ทุกที่!

การขายคืออะไร?

การขาย คือ การสื่อสารทุกรูปแบบเพื่อนำเสนอเกี่ยวกับสินค้าและบริการเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าซื้อสินค้าที่ต้องการด้วยความพอใจ 

ยกตัวอย่าง ลองย้อนอดีตตัวคุณกลับไปตอนเด็ก  นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่คุณขอให้แม่ซื้อของเล่น หรือตอนขอให้พาไปเที่ยวสวนสนุก คุณจะใช้วิธีการพูดถึงเหตุผลร้อยแปดเพื่อหว่านล้อมให้ได้ในสิ่งที่คุณต้องการ การนำเสนอว่าสิ่งของที่คุณอยากได้นั้นมันดีอย่างไร? ใช้แล้วจะเป็นอย่างไร? ทำไมถึงต้องมีมัน? สิ่งเหล่านี้แหละคือการขาย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ติดตัวคุณมาตั้งแต่เกิด!

เมื่อคุณกลายเป็นเจ้าของธุรกิจแต่ไม่มีทักษะการขาย  ไม่เข้าใจการขาย อีกทั้งคุณต้องคอยอาศัยลูกน้องหรือทีมงานขายเพื่อขายสินค้าให้กับธุรกิจของคุณ  นั่นหมายความว่า ธุรกิจของคุณกำลังอยู่บนความเสี่ยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

.

เจ้าของธุรกิจจึงจำเป็นต้องขายสินค้าและบริการของตนเองให้ได้ด้วย  แต่เจ้าของธุรกิจหลายๆ คนอาจจะเผชิญกับความกลัวหรือเกลียดการขาย และไม่เปิดใจในการฝึกฝนเพื่อสร้างทักษะในการขาย

อันดับแรกที่ต้องเข้าใจก่อนคือ การขายไม่จำเป็นต้องบังคับใครซื้อสินค้าและบริการ  แต่เป็นการใช้การสื่อสารในรูปแบบที่คุณ “ถนัด” หรือถูก “จริต” ในแบบและสไตล์ของคุณเพื่อนำเสนอประโยชน์ต่างๆ ของสินค้าและบริการที่สามารถช่วยให้ลูกค้ามีชีวิตที่ดีขึ้นได้  

เพียงคุณเข้าใจและนำ 4 วิธีคิดนี้ไปใช้ในธุรกิจ  คุณจะสามารถเพิ่มยอดขายแบบก้าวกระโดด โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มเลยสักบาทเดียว!

1. สร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการขาย

คุณต้องเข้าใจก่อนว่าการขายไม่ใช่เรื่องชั่วร้ายหรือสิ่งที่ผิด  คุณอาจจะเคยมีประสบการณ์ที่ลูกค้าบางคนแสดงความรู้สึกเกลียดที่ถูกนำเสนอสินค้า  สำหรับลูกค้าที่แสดงออกแบบนี้อาจเป็นเพราะเขาเคยมีประสบการณ์ที่แย่ต่อการขาย เคยถูกยัดเยียดสิ่งที่เขาไม่ต้องการในอดีต 

เจ้าของธุรกิจเช่นคุณต้องเข้าใจธรรมชาติของลูกค้าด้วยว่า  หากเขาไม่ต้องการสินค้าและบริการใดก็เป็นธรรมดาที่จะไม่ให้เวลา รำคาญ หรือปฏิเสธทันทีที่ถูกขาย 

เมื่อเจ้าของธุรกิจเข้าใจถึงธรรมชาติและสิ่งที่เกิดขึ้นกับการขายของธุรกิจและสิ่งที่สร้างปัญหาให้กับทีมงานขายแล้ว   ทัศนคติในการขายก็จะเปลี่ยนไปรวมทั้งวิธีการขายก็จะเปลี่ยนไปด้วย

.

ทัศนคติที่ดีที่สุดในการขาย คือ คุณต้องเชื่อก่อนว่า สินค้าที่กำลังขายอยู่นั้นเป็นของดี หากคุณรู้สึกว่าสิ่งที่คุณขายอยู่เป็นสิ่งไม่ดี คุณต้องหยุดขายสิ่งนั้นเดี๋ยวนี้!! 

การขายสินค้าและบริการทุกประเภทมีความจำเป็นอย่างมากที่เจ้าของธุรกิจจะต้องมีทัศนคติที่ดีและเชื่ออย่างหมดใจว่าสินค้าและบริการของคุณดี แล้วหน้าที่ของคุณ คือ การนำสิ่งดีๆ เหล่านี้ไปแก้ปัญหาให้ลูกค้าที่มีความต้องการ  

.

ข้อคิด: เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการขาย คือ  “การขายสินค้าและบริการที่ช่วย แก้ปัญหาให้กับลูกค้า” เพราะเจ้าของธุรกิจจะรู้ดีและสามารถแสดงความจริงใจได้ว่า คุณขายสินค้าและบริการที่สามารถช่วยลูกค้าได้จริงไม่มากก็น้อย ซึ่งจะนำมาด้วยยอดขาย  การบอกต่อ และการซื้อซ้ำอย่างแน่นอน

 

2.การขายไม่ใช่พรสวรรค์  แต่เป็นพรแสวงที่สามารถฝึกฝนและเรียนรู้ได้

“ถ้าคุณต้องการที่จะทำสิ่งใดให้ดีสักอย่างหนึ่ง คุณจะต้องฝึกฝนอย่างต่ำหนึ่งหมื่นชั่วโมง” คำกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ถูกพิสูจน์มาแล้วจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก   ประเด็นสำคัญ คือ ถ้าคุณต้องการเก่งหรือเชี่ยวชาญในเรื่องใดคุณต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องอย่างน้อย 1-3 ปี  

เจ้าของธุรกิจที่เริ่มเปิดกิจการ  หรือเปิดกิจการมาแล้ว แต่ยังขาดประสบการณ์ในการนำเสนอการขายสินค้าและบริการของตนเอง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ  เพื่อสะสมประสบการณ์ในการขาย การนำเสนอสินค้าและบริการในหลายๆ รูปแบบเพื่อค้นหาว่ารูปแบบไหนที่จะตอบโจทย์ในสไตล์ที่ใช่หรับธุรกิจคุณ

.

การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ คือ การสร้าง “พรแสวง” ที่นอกจากจะทำให้เกิดความเชี่ยวชาญแล้ว  ยังทำให้เจ้าของธุรกิจรู้ซึ้งถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการขาย อีกทั้งยังช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถออกแบบวิธีการขายและการนำเสนอให้กับทีมงานได้เป็นอย่างดี   

การสร้างความเข้าใจและปฏิบัติมากเพียงพอก็จะสามารถทำให้คุณและทีมงานเก่งได้โดยใช้ระยะเวลาไม่นาน   อีกทั้งยังสามารถสร้างรูปแบบและระบบการขายที่ถ่ายทอดให้ทีมงานของคุณเก่งเหมือนคุณได้เช่นเดียวกัน

เพื่อการฝึกฝนตนเองให้เก่งยิ่งขึ้น  คุณต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือเหตุการณ์ที่จะได้โอกาสเรียนรู้วิธีการขายประเภทต่างๆ จากหลากหลายธุรกิจ  รวมทั้งฝึกฝนการขายและการนำเสนอด้วยทัศนคติที่ดีตั้งใจเพื่อสร้างประสบการณ์ที่จะช่วยทำให้คุณสามารถพัฒนาการขายของคุณได้อย่างแน่นอน

.

ข้อคิด: คนบางคนที่ขายของเก่ง นั่นอาจเป็นเพราะว่าคนเหล่านั้นเติบโตและฝึกฝนมาอย่างสม่ำเสมอในสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่ซึมซับด้านการขาย  ทั้งๆ ที่อาจไม่เคยมีใครสอนเลย เช่นเดียวกันกับคุณ คุณก็สามารถซึมซับและเรียนรู้เหมือนกับคนเหล่านั้น เพียงแต่คุณต้องเปิดใจ  มีทัศนคติบวก ลงมือปฏิบัติ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ค้นหาว่าการขายแบบใดที่ตอบโจทย์ “สไตล์” การขายของคุณและนำไปฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

3.อย่ากลัวที่จะถูกปฏิเสธ

เป็นธรรมดาที่ลูกค้ามักจะปฏิเสธการขายก่อนเสมอ ต่อให้คุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีเทคนิคการขายมืออาชีพ หรือเพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจก็ตาม  การถูกปฏิเสธการขายสินค้าก็เป็นอะไรที่เจ้าของธุรกิจหลายคนกลัวเป็นอย่างมาก ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่คาดหวังให้การขายสินค้าประสบความสำเร็จ ขายดี ราบรื่นตลอดเวลา 

หากเจ้าของธุรกิจลองคิดอีกแง่หนึ่ง การถูกปฏิเสธก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน เพราะสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าการโดนปฏิเสธ คือ เหตุผลที่ลูกค้าปฏิเสสินค้าและบริการของคุณต่างหาก เพราะมันทำให้เจ้าของธุรกิจรู้ว่าสินค้าของตัวเองควรปรับปรุงอย่างไรให้ดีขึ้นกว่าเดิม 

.

วิธีการรับมืออย่างง่ายๆ คือ เมื่อรู้ว่าการถูกปฏิเสธเป็นเรื่องปกติแล้ว  ให้เตรียมพร้อมกับการถูกปฏิเสธที่จะเกิดขึ้นด้วย นี่คือเหตุผลทางจิตวิทยาที่จะช่วยให้คุณเข้าใจและเตรียมความรู้สึกเพื่อจัดการกับคำปฏิเสธที่จะเกิดขึ้นในการนำเสนอการขายได้ดียิ่งขึ้น

เมื่อเข้าใจแล้วว่าการถูกปฏิเสธเป็นเรื่องปกติ  เจ้าของธุรกิจอาจจำเป็นต้องท้าทายตนเองด้วยการออกนอก Comfort Zone (สิ่งที่คุ้นเคย) เพื่อพัฒนาทักษะการนำเสนอขายสินค้าและบริการในรูปแบบต่างๆ กับบุคคลหลากหลายประเภทเพื่อให้เกิดประสบการณ์ในหลายๆ แง่มุม

วิธีคิดที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าจะทำให้คุณเอาชนะความกลัวที่จะถูกปฏิเสธได้คือ การเผชิญหน้ากับการถูกปฏิเสธ  เมื่อคุณถูกปฏิเสธหลายๆ ครั้ง คุณจะเริ่มชินกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้น และความกลัวจะหายไป เหลือแต่เป้าหมายและผลลัพธ์ที่คุณต้องการ

.

ข้อคิด: การสร้างธุรกิจก็เปรียบเสมือนการให้กำเนิดเด็กทารก  ในเวลานั้นทุกอย่างจะดูสับสน วุ่นวาย และดูเละเทะไปหมด เมื่อเด็กทารกคลอดออกมาก็ต้องเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และดูแลอย่างดี   ซึ่งไม่ต่างอะไรเลยกับการทำธุรกิจและขายสินค้า เมื่อคุณเริ่มต้นธุรกิจ ทุกสิ่งทุกอย่างอาจท้าทาย ไม่มีประสบการณ์ และไม่สมบูรณ์มากนัก แต่เมื่อคุณค่อยๆ เรียนรู้ ลองผิดลองถูก และปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ  คุณจะสามารถเก่งขึ้นและพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ให้ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน การขายก็เช่นกัน!

4.เข้าใจถึงความต้องการของลูกค้า

ก่อนที่ลูกค้าจะเกิดความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการ  มักมี “ปัญหา” เกิดขึ้นก่อน หลังจากนั้นลูกค้าจึงต้องการหาบางสิ่งเพื่อช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้น  คุณต้องเรียนรู้ว่าลูกค้าที่จะมาซื้อสินค้าหรือบริการของคุณมีปัญหาอะไรบ้าง แล้วสินค้าหรือบริการของคุณสามารถช่วยลูกค้าได้อย่างไร  คุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนหรือไม่

T.Harv Eker ผู้เขียนหนังสือขายดี “ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน” ที่เจ้าของธุรกิจทั่วโลกอ่านกล่าวว่า 

ถ้าคุณต้องการที่จะได้เงิน คุณจะแก้ปัญหาให้คนเพียงคนเดียว

ถ้าคุณต้องการที่จะมีเงิน คุณจะต้องแก้ปัญหาให้คนร้อยคน

ถ้าคุณต้องการที่จะรวย คุณจะต้องแก้ปัญหาให้คนพันคน 

ถ้าคุณต้องการจะเป็นเศรษฐี คุณจะต้องแก้ปัญหาให้คนหมื่นคน แสนคน หรือล้านคน

.

เจ้าของธุรกิจต้องเป็นนักแก้ปัญหาที่ดี  ต้องกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทุกๆ วัน  เพราะถ้าคุณหลบปัญหาและให้คนอื่นแก้ปัญหาแทนคุณ คนอื่นจะรวยแต่คุณจะจน  เพราะเมื่อคุณต้องเผชิญหน้าเพียงลำพัง คุณจะขาดทักษะในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเท่ากับว่าคุณกำลังไล่ลูกค้าของคุณให้ไปหาคู่แข่ง

ดังนั้นเจ้าของธุรกิจจึงควรทำงานในเชิงรุกในการเรียนรู้และเข้าใจลูกค้าผ่านกระบวนการ “รวบรวมปัญหาทุกประเภท” ที่เกิดขึ้นเพื่อ “สร้างข้อมูลการแก้ปัญหา” สำหรับเตรียมความพร้อมสำหรับการนำเสนอการขายสินค้าหรือบริการของตนเอง  เพราะไม่มีใครรู้ดีเท่ากับคนที่เป็นคนสร้างธุริจ เพราะฉะนั้นเจ้าของธุรกิจต้องเข้าใจก่อนว่าปัญหาของลูกค้าคืออะไร?

.

ข้อคิด:  ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนั้น  เจ้าของธุรกิจต้องเรียนรู้และสะสมประสบการณ์ให้มากพอในการแก้ปัญหาของลูกค้าที่ใช้สินค้าและบริการของตน   นอกจากจะสามารถเข้าใจลูกค้าได้เป็นอย่างดีแล้ว ยัง สามารถนำเสนอสินค้าและบริการต่างๆ ให้ลูกค้าได้อย่างตรงจุด  สร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าเป็นอย่างดี

4 วิธีคิดดังกล่าวนี้สามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างก้าวกระโดดโดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มเลยสักบาทเดียว!   จำไว้ว่า “ทัศนคติที่ดี”  “การฝึกฝน” “การกล้าเผชิญหน้ากับคำปฏิเสธ”  “การเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้า”  สามารถเปลี่ยนให้เจ้าของธุรกิจสามารถพลิกโฉมการทำธุรกิจ  การนำเสนอการขายในวิธีคิดและวิธีการใหม่ ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ในรูปแบบใหม่ที่คุณอาจจะนึกไม่ถึงมาก่อนเลยด้วยซ้ำ  

.
เรียนรู้และฝึกฝนกลยุทธ์ เทคนิค การวางแผน  การขาย การตลาด การเจรจาต่อรอง และวิธีคิดที่ช่วยแก้ปัญหาให้เจ้าของธุรกิจทั่วโลก  ด้วยไอเดียสร้างยอดขายและทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดมากกว่า 200% โดยไม่ต้องจ้างพนักงานเพิ่ม  ไม่ต้องผลิตสินค้าเพิ่ม ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม กับหลักสูตร Guerrilla Business Intensive ของ T.Harv Eker ที่ได้รับการยอมรับจากเจ้าของธุรกิจไทยกว่า 500 ธุรกิจและหลายหมื่นธุรกิจทั่วโลก  อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิกที่ Banner ด้านล่างได้เลย!

 

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

3 วิธีง่ายๆ ที่ทำให้ความรักเติบโตไปพร้อมๆ กับเงินของคุณ

3 วิธีง่ายๆ ที่ทำให้ความรักเติบโตไปพร้อมๆ กับเงินของคุณ

3 วิธีง่ายๆ ที่ทำให้ความรักเติบโตไปพร้อมๆ กับเงินของคุณ

10 กุมภาพันธ์ 2563 | เขียนโดย Pan Pho Team.

ปัญหาส่วนใหญ่ของชีวิตคู่คงหนีไม่พ้นปัญหาระหว่าง “ความรัก” และ “การเงิน” มาเรียนรู้วิธีที่จะช่วยให้คุณแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่าง “ความรัก” และ “การเงิน” เพื่อสร้างความสัมพันธ์ดีๆ ให้กลับมาหาคุณ

ถ้าพูดถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษย์เป็นอันดับต้นๆ 2 คำตอบนี้ คงตีคู่สูสีกันมาแน่ๆ คือ ”การเงิน” และ “ความรัก” ก็ไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยอะไรถ้าคนส่วนใหญ่จะบอกว่า ‘สิ่งที่สำคัญสำหรับฉันคือเงิน’ ‘ความรักก็เป็นสิ่งที่ฉันขาดไม่ได้’  เพราะ ‘เงิน’ ทำให้คุณอิ่มท้อง และ ‘ความรัก’ ช่วยเติมเต็มความสุข

อาการตกหลุมรัก เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แต่มันไม่เหมือนตอนจบในการ์ตูนอย่างที่คุณเคยดูตอนเด็ก เห็นฉากเจ้าชายกับเจ้าหญิงรักกันชั่วนิรันดร์ แล้วภาพก็ตัดไป กลับกันในโลกของความเป็นจริง ความรัก เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆ เท่านั้นในการสร้างครอบครัว

เพราะการเงินจะเข้ามามีบทบาทสำคัญที่คอยขับเคลื่อนความรัก ในขณะที่ความรักก็คอยขับเคลื่อนการเงินเช่นกัน ทั้ง ”การเงิน” และ “ความรัก” เป็นความสัมพันธ์ที่แยกขาดจากกันไม่ได้

เพื่ออธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจถึงกลไกความสัมพันธ์ระหว่างการเงินกับความรักมากขึ้น ต้องย้อนกลับไปในช่วงเวลาก่อนประวัติศาสตร์ สมัยที่มุนษย์ยังใช้ถ้ำหินเป็นที่อยู่อาศัย มนุษย์เพศชายจะทำหน้าที่ในการหาอาหารหรือล่าสัตว์ ในขณะที่ มนุษย์เพศหญิงจะอยู่ถ้ำเพื่อทำหน้าที่เลี้ยงลูก ทำอาหาร และงานเล็กๆ น้อยๆ  ซึ่งหน้าที่ของผู้ชายเปรียบเหมือนการออกไปหาเงินขณะที่ผู้หญิงจะทำหน้าที่มอบความรักและการดูแล

กลายเป็นมายาคติที่ว่า ผู้ชายทำหน้าที่ทำงานหาเงิน ผู้หญิงคอยให้ความรัก ให้การดูแล และจากมายาคติที่ถูกปลูกฝังมาแบบนั้นส่งผลถึงพฤติกรรมในปัจจุบัน ที่ผู้หญิงหันมาเป็น Working women กันมากขึ้น ไม่อยากอยู่บ้านอย่างเดียว เพราะเงินไม่พอใช้ ส่วนผู้ชายก็กลัวจะไม่ได้รับความรักความเอาใจใส่เท่าเดิม ลามไปจนถึงปัญหาอื่นๆ

เกิดเป็นความขัดแย้ง ทำให้การเงินกลายเป็นปัญหาของชีวิตคู่ ความรักแตกหัก นำไปสู่การมีปากเสียงและหย่าร้างในที่สุด แต่ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นสามารถหาทางออกง่ายๆ ได้ในบทความนี้แล้ว

3 วิธีง่ายๆ ที่ทำให้ความรักเติบโตไปพร้อมๆ กับเงินของคุณ

วิธีที่ 1: “ให้ความสำคัญทั้งความรักและการเงิน”

คุณน่าจะเคยเจอคำถามนี้บ่อย ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยเล่นๆ หรือเปิดบทสนทนาแบบจริงจังว่า “จริงๆแล้วในชีวิตคนเรา อะไรสำคัญกว่ากันระหว่างเงินกับความรัก” มันเป็นคำถามที่คนตอบต้องใช้ความคิดอย่างหนัก ถ้าต้องเลือกระหว่างเงินกับความรัก ก็คงไม่ต่างอะไรกับการถามว่า

“จริงๆแล้วในชีวิตคนเราอะไรสำคัญกว่ากันระหว่างมือซ้ายกับขาขวา”  คุณคงชั่งใจในการตอบอยู่นานแน่ๆ เพราะทั้งมือซ้ายและขาขวาต่างก็มีหน้าที่แตกต่างกัน หน้าที่ของมือซ้าย คือ หยิบจับสิ่งของ และใช้แสดงท่าทางต่างๆ ส่วนหน้าที่ของขาขวา คือ ช่วยในการเคลื่อนไหว เช่น เดิน วิ่ง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คุณไม่สามารถเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้ 

.

เช่นเดียวกันกับกรณีของเงินกับความรัก “เงิน” ทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้เราสร้างความสุขได้มากขึ้น สร้างความมั่นคงในชีวิต ส่วน ”ความรัก” เป็นแรงขับเคลื่อนที่ดีในการทำให้เราวางแผนอนาคต การใช้ชีวิต และวางแผนการใช้เงินในรูปแบบที่ดีขึ้นได้ จะเห็นว่าทั้งเงินและความรักต่างก็ทำหน้าที่ต่างกัน ไม่สามารถทดแทนกันได้ และแยกขาดออกจากกันไม่ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คุณต้องมีทั้งเงินและความรัก

.

ข้อคิด: เป็นเรื่องจริงที่ใครหลายคนบอกว่า เงินซื้อความรักไม่ได้ แต่เงินสามารถช่วยคุณสร้างความสุขและเติมเต็มความรักได้ สร้างทางเลือกให้คุณได้มากขึ้น สามารถพาคนรักไปซื้อของแพงๆ ทานอาหารหรูๆ ได้ด้วย ยิ่งคุณมีเงินมากเท่าไหร่ คุณยิ่งมีอิสรภาพทางการเงินเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นคุณควรให้ความสำคัญทั้งความรักและการเงิน 

วิธีที่ 2: “เข้าใจพฤติกรรมการใช้เงินของคนรัก”

พฤติกรรมการใช้เงินเป็นปัจเจกเฉพาะบุคคล บางคนมีนิสัยใช้จ่ายฟุ่มเฟือย บางคนชอบเก็บออม ยิ่งถ้าคนที่มีพฤติกรรมการใช้เงินคนละขั้วมาอยู่ด้วยกัน อาจทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น ทำไมต้องซื้อของใหม่ ทั้งๆ ที่ของเก่ายังใช้ได้อยู่ ทำไมต้องเก็บเงิน ไม่รู้จักใช้หาความสุขเสียบ้าง และสารพัดคำถามอีกร้อยแปด เพราะแค่ความไม่เข้าใจในพฤติกรรมการเงินของกันและกัน 

.

ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าคนรักของคุณจะมีพฤติกรรมการเงินที่แตกต่างกัน ขนาดพี่น้องบางคนเกิดในครอบครัวเดียวกัน ยังมีวิธีการจัดการการเงินไม่เหมือนกันเลย ซึ่ง T.Harv Eker ผู้เขียนหนังสือ The Secret of Millionaire Mind และนักธุรกิจที่ค้นพบหลักการ Money Mindset ได้แบ่งพฤติกรรมการใช้เงิน หรือบุคลิกภาพทางการเงิน (Money Personality) 4 ประเภท ประกอบไปด้วย 

  1. Spender คือ กลุ่มคนที่มีพฤติกรรมชอบใช้จ่าย มีความสุขกับการใช้เงิน ใช้เงินเพื่อซื้อความสุข ความสบาย หาเงินมาได้ก็มักจะใช้หมด 
  2. Saver คือ กลุ่มคนที่มีพฤติกรรมตรงข้ามกันกับ Spender อย่างสิ้นเชิง กลุ่มคนที่มีความสุขกับการทำงานเก็บเงินไปเรื่อยๆ มีความสุขเป็นพิเศษเมื่อเห็นตัวเลขเงินในบัญชีที่เพิ่มมากขึ้น และจะรู้สึกร้อนรนถ้าต้องใช้เงินหรือจ่ายเงินเพื่อของไม่จำเป็น
  3. Avoider คือ กลุ่มคนที่ไม่สามารถพูดคุยเรื่องเงินได้ ถ้าคุยเรื่องเงินจะเกิดอาการเครียดและเบือนหน้าหนี เพราะเขามองว่าเรื่องเงินเป็นเรื่องน่าปวดหัว และเขาอยากหลีกเลี่ยง 
  4. Monk คือ กลุ่มคนที่มองว่าเงินเป็นของนอกกาย เมื่อมีเงินก็จะแบ่งให้กับคนอื่น ช่วยเหลือคนอื่นเสมอ ชอบทำบุญมาก ทำให้ไม่มีเงินเก็บ บางครั้งก็ให้คนอื่นมากเกินไปจนตัวเองเดือดร้อน 

.

ข้อคิด: คนทั้ง 4 ประเภทนี้ แฝงตัวปะปนกันอยู่ในสังคม ดูเผินๆ คุณไม่มีทางรู้เลยว่า แต่ละคนมีพฤติกรรมการใช้เงินอย่างไรบ้าง? จะเหมือนหรือต่างกันยังไง? เพราะฉะนั้น เมื่อคุณเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคนรัก อย่าลืมศึกษาและทำความเข้าใจพฤติกรรมการเงินของเขาด้วย เพราะถ้าคนรักของคุณเป็นคนประเภท Spender แต่คุณอยากให้เขาเห็นความสำคัญของเงินและเก็บเงินเหมือนคุณ (Saver) คนรักของคุณจะไม่มีทางทำได้ในทันที หรือถ้าทำได้เขาจะทำได้ไม่ดีพอ ดังนั้นคุณควรเข้าใจพฤติกรรมทางการเงินของแต่ละประเภทเพื่อปรับตัว หากึ่งกลาง สร้างสมดุลและยืดหยุ่นซึ่งกันและกัน 

วิธีที่ 3: “เข้าใจภูมิหลังและบริหารความคาดหวังซึ่งกันและกัน”

บางครั้งคุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมตัวคุณถึงมีมุมมองการเงินแบบนี้? คนรักของคุณถึงมีมุมมองการเงินอีกแบบ? คำตอบของคำถาม คือ เพราะทุกคนมีภูมิหลัง หรือ Background ชีวิตไม่เหมือนกัน  Background ของแต่ละคนที่แสดงพฤติกรรมออกมาล้วนมาจาก Mindset ที่ถูกหล่อหลอมจากคำพูดที่เคยได้ยินฝังหัว ต้นแบบที่เคยเห็น เหตุการณ์ฝังใจที่เคยมีประสบการณ์ร่วมนั่นเอง 

.

นอกจากนี้ คุณต้องรู้จักบริหารความคาดหวังของกันและกันด้วย ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาตามมาได้ เช่น คุณเกิดปัญหาทะเลาะกับคนรัก เพราะคนรักของคุณคาดหวังให้คุณเป็นคนทำงานหาเงินเข้าบ้าน เป็นคนจัดการเรื่องการเงินทุกอย่าง และต้องเป็นคนเก็บเงินให้เธอ เมื่อคุณมองให้ลึกลงไปถึง Background ว่า ทำไมคนรักของคุณถึงคาดหวังกับคุณเช่นนั้นก็พบว่า

ตอนเด็กๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่เธออยากกินขนม เธอจะวิ่งไปขอเงินแม่และกลับมามือเปล่า พร้อมกับคำพูดของแม่ที่จะบอกกับเธอเสมอว่า ‘ไปขอที่พ่อสิ พ่อเป็นคนถือเงินทั้งหมด’ หลังจากนั้นเธอจึงมีความเชื่อแบบฝังลึกว่า เงินทั้งหมดสมควรอยู่กับผู้ชาย ทำให้เธอคาดหวังว่า ผู้ชายจะหาเงินมาให้เธอใช้และเป็นคนคอยดูแลเงินให้ตลอด 

.

ข้อคิด: เหตุผลที่คุณต้องรู้ Background ของคนรัก เพราะคุณจะต้องทำความเข้าใจ บริหารความคาดหวัง พูดคุยและปรับตัวเข้าหากัน เพื่อลดความขัดแย้ง ไม่ทำให้การเงินกลายเป็นปัญหาของชีวิตคู่ และช่วยกันสร้างความรักให้ยืนยาวด้วยความเข้าใจ

เมื่อคุณลองปฏิบัติตาม 3 วิธีข้างต้นแล้ว เชื่อได้เลยว่า ความสัมพันธ์ดีๆ จะกลับมาหาคุณ ให้คุณคิดไว้เสมอว่า “ความรัก” ไม่ได้ทำให้ชีวิตของคุณแย่ แต่ “ความรัก” จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้คุณรู้จักวางแผนการใช้เงินในรูปแบบที่ดีขึ้น เป็นกำลังให้คุณใช้ชีวิตและวางแผนอนาคตที่ชัดเจนขึ้น ในขณะเดียวกัน “เงิน” ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตรักของคุณแย่ แต่ ”เงิน” จะเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนความรักของคุณ ให้มีความสุขได้มากขึ้น มีความมั่นคงในชีวิตคู่มากขึ้นนั่นเอง 

.

คุณไม่จำเป็นต้องเลือกมีแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง คุณสามารถให้ความรักและเงินเติบโตไปพร้อมๆ กันได้

.

หากคุณอยากรู้เคล็ดลับการจัดการการเงินไปพร้อมกับเรื่องอื่นๆ อีก พร้อมทั้งเรียนรู้เทคนิคการสร้างความสำเร็จทางชีวิตและการเงิน ทางเราขอแนะนำ สัมมนา Millionaire Mind Intensive สัมมนาที่อัดแน่นด้วยความรู้ ประสบการณ์ และเคล็ดลับตลอด 3 วัน ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตและการเงินของคุณไปตลอดกาล >> สนใจกด Banner ด้านล่างได้เลย!

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

Business Experts Ep.2 – “Product Development : ทำอย่างไร…ให้สินค้าของคุณไม่หยุดพัฒนา” | คุณชนา วสุวัต

Business Experts Ep.2 – “Product Development : ทำอย่างไร…ให้สินค้าของคุณไม่หยุดพัฒนา” | คุณชนา วสุวัต

Business Experts Ep.2 – “Product Development : ทำอย่างไร…ให้สินค้าของคุณไม่หยุดพัฒนา” 

5 กุมภาพันธ์ 2563 | จัดทำโดย Pan Pho Production.

Product Development คืออะไร?

พบกับ คุณชนา วสุวัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท แวลู ซอร์สซิ่ง จำกัด (เจ้าของแบรนด์ผักโขมอบชีส “Reo’s Del”) ที่จะเผยวิธีการ เคล็ดลับ และเทคนิค ในเรื่องของ Product Development ที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเดินหน้าและประสบความสำเร็จ

ติดตาม Business Experts ได้ทุกวันพุธเว้นพุธ เวลา 19:00 น.ได้ทาง PanPho.com

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก