Russian Roulette กำลังสอนอะไรเราเกี่ยวกับการเก็บเงิน

Russian Roulette กำลังสอนอะไรเราเกี่ยวกับการเก็บเงิน

Russian Roulette สอนอะไรเราเกี่ยวกับการเก็บเงิน

23 กันยายน 2562 | เขียนโดย Pan Pho Team.

ถอดบทเรียนทางการเงินสู่การพนันทางการเงินที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเล่นโดยไม่รู้ตัว

คุณอาจจะเคยผ่านตากับฉากในภาพยนต์ที่ต้องการสื่อถึงการเดิมพันด้วยชีวิต เราอาจจะนึกถึงการพนันที่เรียกว่า “Russian Roulette” ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่คนที่ชอบความท้าทายกับโชคชะตาของตัวเองด้วยการนำกระสุนหนึ่งนัดใส่ลงไปในรังเพลิง จากนั้นก็พลัดกันสุ่มลั่นไก หากคนไหนโชคดี พวกเขาอาจจะรอดจากเกมมฤตยูนี้ไปได้ แต่หากคนไหนโชคร้าย พวกเขาอาจจะต้องจบชีวิตลงตรงนั้นอย่างไม่มีทางเลือก

จริงอยู่ที่ฉากเหล่านี้เกิดขึ้นในโลกแห่งภาพยนต์และอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ดูไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง แต่ในขณะเดียวกันนั้น บนโลกแห่งความเป็นจริงที่ทุกคนนั้นต่างทำงานหนักเพื่อเงินทองและชื่อเสียง พวกเขาอาจจะยังไม่รู้ตัวอยู่ว่าการกระทำต่างๆที่พวกเขาทำนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปกับการเล่น Russian Roulette เลย แต่เพียงเปลี่ยนจากกระสุนหนึ่งนัดในรังเพลิง เป็นเงินเก็บของพวกเขาก็เท่านั้น

ทำงานหนัก เก็บเงิน เพื่อจะได้สบายในบั้นปลาย

คุณเคยได้ยินคำสอนที่ว่า “ทำงานหนักและเก็บเงินไว้ เพื่อที่จะได้สบายในยามบั่นปลายของชีวิต” ประโยคข้างต้นนี้ เป็นคำสอนที่คนรุ่นเก่าๆ ส่งต่อกันมา

จากงานศึกษาจาก University of Utah ทำการเก็บข้อมูลว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะลงหลักปักฐานแล้วฐานนั้นมั่นคงคือช่วงอายุที่ 28 ปี และอายุ 32 ปี หรืออีกนัยหนึ่ง นี่ช่วงเวลาที่คุณจะต้องทำงานอย่างหนัก เก็บเงิน สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง

และหลังจากนั้น สิ่งที่คุณคาดหวังหลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งการทำงานอย่างหนักหน่วง คือช่วงเวลาที่คุณจะได้มีเวลาอยู่กับสิ่งที่ตัวเองรัก ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจากเงินที่ตัวเองหามาได้ในตลอดเวลาที่ตัวเองทำงาน ซึ่งช่วงนั้นเรียกว่า “วัยเกษียณ

นี่คือสิ่งที่เราถูกสอนมากันเป็นเหมือนถูกตั้งโปรแกรมในจิตสำนึกเราว่านี่คือช่วงเวลาที่คุณจะได้มีความสุข สงบ และปลอดภัยจนกระทั่งคุณจากไป..

แต่รู้หรือไม่ว่า ความคิดที่ว่านี้คือกระสุนนัดแรกที่พร้อมที่จะทำลายชีวิตของคุณในยามที่คุณไม่พร้อมที่สุด..

เมื่อความโชคดีที่มากเกินไป คือคำสาป

อย่างที่หลายคนมักถูกสอนว่า เราจะต้องวางแผนเกษียณด้วยการเก็บเงินให้กับตัวเองตั้งแต่วันนี้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีที่เราเตรียมตัวเองให้พร้อมในวันที่เราแก่ชราลง เราอาจจะวางแผนการเงินให้ตัวเองเพียงพอกับการใช้ชีวิตอยู่ภายใน 20 ปีสุดท้ายของชีวิต 

นั้นหมายความว่าคุณจะเกษียณตัวเองจากหน้าที่การงานของคุณในวัย 60 ปีและใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขพร้อมกับเงินเก็บที่คุณมีจนกระทั่งวัย 80 ปีอย่างที่คุณตั้งใจไว้

แต่ถ้าสมมุติว่า.. คุณอายุยืนกว่า 80 ปีหล่ะ..

สิ่งหนึ่งที่คนวางแผนเกษียณส่วนใหญ่ลืมไปก็คือ พวกเขามักวางแผนชีวิตตัวเองให้ “พอดี” กับอายุที่พวกเขาคิดว่าจะอยู่ถึง จนกระทั่งลืมไปว่า อนาคตนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และความไม่แน่นอนนี่เอง ที่จะทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดนั้น อาจไม่เป็นไปอย่างที่พวกเขาคาดหวังไว้ตั้งแต่แรก

ในบั้นปลายชีวิตของเรานั้น คือช่วงเวลาที่เราจะมีความสุขกับการมีชีวิตอยู่ แต่บางครั้ง นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่คนหลายคนหวาดกลัวที่สุดก็เป็นได้

การมีเงินทำให้คุณมีคือทางเลือกที่มากขึ้น

หากในอนาคต มีบริษัทยาที่สามารถทำให้คุณมีอายุยืนยาวต่อไปได้อีก 30 ปีโดยไม่ป่วยไม่ไข้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการรับยาตัวนี้เป็นเงิน 30 ล้านบาท คุณจะรับยาตัวนั้นหรือไม่?

แน่นอน” คือคำตอบที่คนหลายๆคนคิดอยู่ในหัวของตัวเอง…

แต่ในความเป็นจริง มีคนมากมายต้องจำใจที่ปฎิเสธทางเลือกดีๆเหล่านี้ เพียงเพราะว่าพวกเขา “มีเงินเก็บไม่เพียงพอ” กับโอกาสที่พวกเขาถูกหยิบยืนมาให้

ด้วยเหตุนี้เอง การเก็บเงินโดยขาดแนวคิดที่ถูกต้องนั้น อาจเป็นเหมือนการพนันทางการเงินแบบหนึ่งที่คุณเองถูกบังคับให้เล่นไปโดยไม่รู้ตัว

 

ดังนั้น หากคุณต้องการที่จะออกจากเกมพนันทางการเงิน สิ่งที่คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงให้เร็วที่สุดคือ วิธีคิดที่คุณมองเกี่ยวกับการเงิน

3 แนวคิดง่ายๆ ที่คนรวยใช้ในการวางแผนเกษียณ

หากคุณกำลังกลัวและคิดที่จะออกจากการพนันทางการเงินที่น่ากลัวนี้ นี่คือแนวคิดทางการเงินง่ายๆที่คุญสามารถนำไปใช้ได้ในทันที

สร้างระบบที่ทำงานหนักให้กับคุณ

ในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังเก็บเงินเพื่อที่จะนำมาใช้ในวัยเกษียณ คนรวยส่วนใหญ่มักมองเงินเก็บที่ตัวเองมีเป็นเหมือนดั่งเงินลงทุนก้อนหนึ่งที่พวกเขาใช้ในการสร้างระบบที่จะทำงานและสร้างรายได้ให้กับพวกเขาอย่างสม่ำเสมอในตลอดบั่นปลายชีวิตของพวกเขา

คุณอาจจะมองว่าการสร้างระบบที่ทำงานหนักให้กับคุณนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากสำหรับหน้าที่ หรือธุรกิจที่ตัวเองทำ แต่สิ่งหนึ่งที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับการสร้างระบบนั่นก็คือ ระบบนั้นสามารถนำไปใช้ได้กับทุกพื้นที่ของชีวิตคุณ เพียงแต่ต้องใช้เวลาและความทุ่มเทในตอนแรกเท่านั้น

ดังนั้น หากคุณคิดที่จะมีความสุขและมั่นคงได้ในยามเกษียณ คุณจะต้องเริ่มตั้งคำถามให้กับตัวเองแล้วว่า ทำอย่างไรธุรกิจของคุณถึงสามารถสร้างรายได้ให้กับคุณได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งกับมัน

กระจายความเสี่ยง

ในหลายครั้ง เรามักจะลงทุนบางสิ่งที่เราแน่ใจว่าจะสร้างผลตอบแทนให้กับเราได้อย่างมากมายมหาศาลในอนาคต แต่แน่นอนหล่ะว่า “ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง” ซึ่งนั่นเองอาจหมายถึงการเอาเงินของคุณไปเสี่ยงกับความไม่แน่นอนที่อาจส่งผลใหญ่หลวงกับชีวิตของคุณ

ในขณะเดียวกัน คนรวยส่วนใหญ่มักใช้โอกาสนี้ในการมองหาวิธีการที่จะกระจายความเสี่ยงของตัวเองออกไป เพื่อให้แน่ใจว่า หากวันใดวันหนึ่ง ช่องทางการลงทุนที่เขาได้สร้างไว้เกิดวิกฤต เขาก็ยังสามรถพึ่งพาตัวเองได้จากช่องทางอื่นๆนั่นเอง

เพราะฉะนั้น การกระจายความเสี่ยงอย่างชาญฉลาดนั้นคือ วิธีคิดที่สำคัญอย่างหนึ่งหากคุณต้องการสร้างความมั่นคงในโลกแห่งความไม่แน่นอนนี้

อย่าเก็บเงิน แต่จงบริหารเงินของคุณ

ในขณะที่คนส่วนใหญ่ทำงานอย่างหนักเพื่อประหยัดอดออม เก็บเงินอย่างมัธยัธถ์ บางครั้งพวกเขาอาจลืมไปว่า ชีวิตพวกเขานั้นก็ต้องมีความสุขในการพักผ่อน ท่องเที่ยวบ้าง รวมไปถึงการขยับขยายฐานะของตัวเองบ้าง เช่น ซื้อบ้าน ซื้อรถ แต่งงาน เป็นต้น

และแน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ต่างต้องใช้เงิน.. 

คนรวยส่วนใหญ่มักหลีกเลี่ยงที่จะประหยัดและอดออม เพราะเขาเชื่อว่านี่คือ วิธีคิดนี้สิ่งที่ไม่ยั่งยืน หากเราต้องการมีชีวิตและไลฟ์สไตล์ในแบบที่อยากได้ แต่ในทางกลับกัน พวกเขามักเลือกที่จะบริหารจัดการเงินที่พวกเขามีตั้งหากหล่ะ

สิ่งที่แตกต่างระหว่างออมเงินกับบริหารเงินนั้นคือ คนส่วนใหญ่นั้นเก็บเงินหลังจากที่พวกเขาจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นหมายความว่า พวกเขาจะออมก็ต่อเมื่อมีเงินเหลือพอเท่านั้น

ในขณะเดียวกันนั้นคนรวยมักจะนำเงินที่พวกเขาได้จากการทำธุรกิจหรือการลงทุน แบ่งสรรค์เพื่อใช้ในพื้นที่ต่างๆของชีวิต ซึ่งนั่นครอบคลุมทุกอย่างที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าผ่อนบ้าน ค่าไปเที่ยว เงินลงทุน เงินเกษียณ เงินสำหรับการศึกษา ฯลฯ 

มีคำพูดคำพูดหนึ่งที่ T.Harv Eker ปรมจารย์ด้านความสำเร็จทางการเงินได้พูดไว้ นั่นก็คือ “Don’t play the victim to circumstances you created” (อย่าเล่นบทเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ที่คุณเป็นผู้สร้างเอง) ในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังท้อแท้และโทษโชคชะตา มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่กล้าลงมือทำและเปลี่ยนตัวเอง 

หากคุณต้องการที่จะออกจากการพนันทางการเงินนี้ ไม่มีใครช่วยเหลือคุณได้ดีไปกว่าตัวคุณเอง เพราะในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่กำหนดชะตากรรมทางการเงินของคุณในอีก 5 ปี 10 ปี หรือตลอดชีวิตของคุณนั้นไม่ใช่การศึกษาที่คุณมี ไม่ใช่ฐานะที่คุณได้รับ แต่เป็นวิธีคิดที่คุณมองชีวิตของคุณตั้งหากหล่ะ

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

อย่าให้ใครฆ่าห่านทองของคุณ

อย่าให้ใครฆ่าห่านทองของคุณ

อย่าให้ใครฆ่าห่านทองของคุณ

23 กันยายน 2562 | เขียนโดย Pan Pho Team.

ถอดบทเรียนจากนิทานอีสป ‘The Golden Goose’ ความสำเร็จไม่เคยเป็นเรื่องยากเพียงแค่เปลี่ยนวิธีคิด

คุณเคยมีความคิดเหล่านี้เข้ามาในความคิดของคุณไหม? ฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยไม่กี่สตางค์ ไม่ต้องฝากหรอกหรือ จะเก็บเงินไว้ทำไม เมื่อไหร่ถึงจะได้ใช้เงินกัน” หรือ “ใช้เงินไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยหาใหม่หากคุณมีความคิดไม่ต่างจากประโยคข้างต้น นั่นหมายความว่า ในอนาคตคุณจะไม่มีเงินเหลืออยู่ในมือสักบาทเดียว แล้วสิ่งที่คุณทำอยู่มันแปลกตรงไหน? ใครๆ ก็ทำกันไม่ใช่หรอ? เพราะเหตุนี้ไงที่ทำให้คนส่วนใหญ่เกิดปัญหาทางการเงิน

นิทานสอนใจเรื่องการเงินที่คุณอาจเคยได้ยินมาแล้ว

เรื่องเงินๆ ทองๆ เกี่ยวข้องกับมนุษย์มานานหลายศตวรรษ เห็นได้ชัดจาก ‘นิทานอีสป’  เรื่องเล่าผ่านการกระทำของมนุษย์และสัตว์ นอกจากความบันเทิง ยังแฝงไปด้วยบทเรียนอันแสนมีค่า คุณอาจเคยฟังแล้วปล่อยผ่าน ไม่ได้เอะใจเลยสักนิด 

 

แล้วนิทานอีสปที่คุณเคยฟังก่อนนอนตอนเด็ก มันเกี่ยวอะไรกับการเงิน? หลายคนคงเคยได้ยินนิทานเรื่อง “The Golden Goose อภินิหารห่านทองคำ”  แต่เชื่อไหมว่าอาจจะมีสักช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่ตัวคุณเองกลายเป็นตัวละครในนิทานเรื่องนี้

 

ชาวนาเลี้ยงห่านเพื่อหวังเก็บไข่ไว้ขาย วันหนึ่งเขาสังเกตเห็นไข่ทองคำสีเหลืองทองอร่าม จึงนำไปขายทุกวันจนร่ำรวย แต่แล้ววันหนึ่งเขาอยากมีเงินทองมากกว่านี้ เขาคิดว่าในท้องห่านนั่นต้องมีไข่ทองคำอยู่มากแน่ๆ จึงตัดสินใจผ่าท้องห่าน สิ่งที่เขาพบกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า.. ไม่มีแล้วไข่ทองคำ ไม่มีแล้วห่าน ไม่เหลืออะไรเลย เขาสูญเสียรายได้อย่างถาวร กลับกลายเป็นเหมือนความสุขเพียงชั่วครู่เท่านั้น

นี่อาจจะฟังเหมือนนิทานปรัมปราทั่วๆไป ที่คุณมักคิดว่า ชาวนานั้นไม่ฉลาดเอาเสียเลย แต่ในความเป็นจริงนั้น มีใครหลายๆ คนในโลกนี้เอง ที่ทำตัวเหมือนกับชาวนาคนนั้นอย่างไม่รู้ตัว

แล้วทำไมใครหลายๆคนถึงยังเป็นอย่างชาวนาคนนั้นอยู่หล่ะ?

ทำไมชาวนาถึงมีวิธีคิดและทำอย่างนั้น? จากความคิดง่ายๆ ห่านออกไข่ทุกวัน ในท้องมันต้องมีไข่ทองคำเป็นกอบเป็นกำ ชาวนาหวังเพียงอยากมีเงินใช้ให้ทันใจ ยกตัวอย่างเช่น คุณฝากเงินไว้ในธนาคาร แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มใช้จ่ายเกินตัวและเป็นหนี้สิน เมื่อนั้นคุณจึงตัดสินใจหยิบเงินในธนาคารของคุณออกมาใช้ และสูญเสียเงินทั้งหมดในที่สุด ปัญหาอยู่ที่การบริหารจัดการเงิน 

ต้นตอปัญหาที่สำคัญที่สุดมาจาก “วิธีคิด” ของคุณต่างหาก ในทางกลับกันถ้าชาวนาเลือกฟูมฟักไข่ห่านให้ออกลูกออกหลานอีก 5 ตัว 10 ตัว คุณจินตนาการออกไหมว่ามันจะกลายเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมกว่าผ่าท้องห่านแค่ไหน แม้จะได้เงินช้า แต่มีรายได้อย่างยั่งยืน หากวันนี้คุณยังคงฝากเงินในธนาคารต่อไปเรื่อยๆ ดอกเบี้ยจำนวนน้อยนิดที่คุณรังเกียจมัน จะค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น อย่างสม่ำเสมอ และกลายเป็นเงินก้อนโตในที่สุด

มันไม่สำคัญที่คุณมีเงินเท่าไหร่ แต่สำคัญที่วิธีการคิดของคุณ

ถ้าคุณเคยมองว่าทุกปัญหาเป็นเรื่องใหญ่เกินจะรับมือไหว จงเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ทุกปัญหาที่เข้ามาเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยในชีวิต ไม่มีความสำเร็จใดอยู่ในมือคนที่หนีปัญหา แต่ความสำเร็จมักวิ่งเข้าหาคนที่พร้อมท้าชนกับอุปสรรคและปัญหาที่ถาโถม

 

ถ้าคุณเคยอยากประสบความสำเร็จ แต่ไม่อยากทำงานหนัก จงเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ คุณจะทุ่มเทและทำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จสิ่งที่คุณต้องทำ คือมุ่งมั่นสร้างฐานะ อย่ารีรอหรืออ้อนวอนต่อพระเจ้า ‘ให้ฉันรวยเร็ววันเร็วคืนด้วยเถิด’ แต่อย่างที่คุณรู้ดี เงินทองไม่ได้หล่นจากฟ้าเสียหน่อย 

 

ถ้าคุณเคยคิดว่าชีวิตฉันถูกฟ้าลิขิตให้เป็นแบบนี้จงเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ คุณจะเป็นคนลิขิตชะตาชีวิตของตัวเอง คนประสบความสำเร็จทุกคนมักกระโจนเข้าไปหาความรู้และคลุกคลีกับการเงิน ไม่มีคนประสบความสำเร็จที่ไหนนั่งรอให้โชคหล่นทับ หรือมัวแต่ลุ้นล็อตเตอรี่ทุกต้นเดือนหรอก

 

ไม่ใช่เรื่องแปลกหากคุณเคยมีความคิดแบบคนทั่วไป เพราะระบบความคิดที่ถูกปลูกฝัง หรือเรียกอีกชื่อว่า Mindset ระบบเหล่านี้ถูกหล่อหลอมจากครอบครัว สภาพสังคม และประสบการณ์ที่เคยพบเจอ ล้วนส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคุณโดยไม่รู้ตัว ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องเงินๆ ทองๆ 

 

ยกตัวอย่าง ถ้าพ่อแม่ของคุณเป็นคนไม่รู้จักเก็บออม หาเงินได้เท่าไหร่ก็ใช้เสียหมด คุณเห็นภาพการจ่ายเงินซ้ำๆ นั่นทำให้มีความเป็นได้สูงที่คุณจะมีนิสัยการใช้เงินแบบเดียวกับครอบครัวหรือคนใกล้ตัวของคุณอย่างไม่ผิดเพี้ยน และนั่นเองอาจเป็นสิ่งที่ขวางกันคุณจากชีวิตที่คุณต้องการ

ความสำเร็จขึ้นอยู่กับวิธีคิดของคุณ

คุณอาจเป็นคนที่เคยคิดว่าการประสบความสำเร็จมักต้องแลกกับการไม่มีเวลาให้ครอบครัว ทำงานหนัก ร่างกายย่ำแย่ สุขภาพจิตเสีย ความคิดเหล่านั้นเองจะเป็นตัวที่บ่งบอกว่าคุณจะสามารถประสบความสำเร็จได้มากน้อยเพียงไหน ในขณะที่ความเป็นจริงแล้วยิ่งคุณประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ คุณยิ่งมีเวลาว่างให้ทั้งตัวเองและครอบครัวมากเท่านั้น 

 

เช่นเดียวกับนิทานที่คุณได้อ่านไป คนส่วนใหญ่นั้นเลือกที่จะฆ่าห่านของพวกเขา เพียงเพราะว่าพวกเขาโลภและต้องการความสำเร็จแบบเร่งด่วน ในขณะที่คนที่ประสบความสำเร็จนั้นมี Mindset ที่มองการณ์ไกลและอดทน ซึ่งนั่นเองเป็นเหตุผลให้คนเหล่านี้มีห่านทองคำนับร้อยนับพันตัว 

 

คุณอาจคิดว่าคุณเป็นคนที่โชคร้าย และดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่ค่อยส่งเสริมคุณเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้น ความสำเร็จนั้นไม่เคยเป็นเรื่องของโชคชะตา และไม่ว่าคุณเป็นใคร มีอาชีพอะไร หรือเกิดมาร่ำรวยหรือยากจน ความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะว่า ความสำเร็จเป็นเรื่องของวิธีคิด และวิธีคิดนั้นสามารถเรียนรู้กันได้

 

จากประสบการณ์การทำธุรกิจที่พลิกจากความล้มเหลวกลายเป็นความสำเร็จของ T.Harv Eker ผู้เขียนหนังสือ The Secret of Millionaire Mind ทำให้เขาวิเคราะห์สาเหตุและค้นพบว่า ความล้มเหลวที่ผ่านมาสามารถแก้ไขได้ด้วย Money Mindset นั่นเอง เขาจึงอยากถ่ายทอดประสบการณ์เหล่านี้ผ่านงานสัมมนา Millionaire Mind Intensive  โดย T.Harv Eker ที่จะช่วยเปลี่ยนวิธีคิดของคุณใหม่ เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยกระดับการเงินแบบก้าวกระโดดทั้งในด้านการหาเงิน การลงทุน และการบริหารจัดการเงิน 

 

ความสำเร็จทางการเงินขึ้นอยู่กับวิธีคิดของคุณ ถ้าคุณคิดแบบผิดๆ ไม่ว่าคุณจะมีห่านในมือเป็นร้อยเป็นพันตัว ก็เป็นเรื่องยากที่จะไปถึงเส้นชัยของความสำเร็จ แต่หากคุณทำความเข้าใจวิธีคิดและปรับเปลี่ยนทัศนคติของตัวเองที่มีต่อเงิน  จากชาวนาที่ไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่ห่าน “คุณอาจกลายเป็นเศรษฐีไข่ทองคำก็ได้” ใครจะไปรู้กันหล่ะ

  

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

5 เทคนิคสู่การเป็น Vlogger ระดับโลกจาก Nas Daily

5 เทคนิคสู่การเป็น Vlogger ระดับโลกจาก Nas Daily

5 เทคนิคสู่การเป็น Vlogger ระดับโลกจาก Nas Daily

18 กันยายน 2562 | เขียนโดน Pan Pho Team.

ในปัจจุบัน กระแสของการทำวิดีโอลงบนโลกโซเชียลมีเดีย ในแพลตฟอร์มต่างๆ อาทิ Youtube, Facebook, Instagram นั้นกำลังได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากความสะดวกสบายของเทคโนโลยีต่างๆรอบตัว ทั้งในฝั่งของผู้รับชมวิดีโอ(Audience) หรือ ผู้ผลิตเนื้อหา (Content Creator) นั้นต่างตื่นตัวและตอบรับกระแสนี้เป็นอย่างดี จึงทำให้ในปัจจุบัน มีคนจำนวนไม่น้อยใช้มันเป็นประโยชน์ในการสร้างความน่าสนใจ และทำรายได้ให้กับพวกเขาได้อย่างมหาศาล

NAS DAILY คือใคร?

“NUSEIR YASSIN” หรือ “NAS” รู้จักกันดีในฐานะของผู้จัดรายการ “NAS DAILY” ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับแรงบันดาลใจและการท่องเที่ยว เขาออกเดินทางไปบนโลกกว้าง โดยที่เขาได้ให้สัญญากับตัวเองว่าจะนำสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ในแต่ละวันจากการเดินทางของเขา มาแบ่งปันผู้คนบนโลกโซเชียล วันละ 1 ตอนโดยภายใน VDO มีความยาวเพียงแค่ 1 นาที ปัจจุบันมีผู้ติดตามเพจของ NAS DAILY แล้วมากกว่า 13 ล้านคนภายในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยแล้วนั้น วิดีโอของ NAS DAILY มีการรับชมมากกว่า 5 ล้านครั้ง

หลายต่อหลายคนนั้นอาจคิดว่าระยะเวลาเพียงแค่ 1 นาที จะสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่สำหรับ NAS และรายการของเขา NAS DAILY ทุกอย่างถูกวางแผนและคิดมาเป็นอย่างดีจนสามารถบีบสาระสำคัญให้เหลือเพียงแค่ 1 นาที โดยที่เนื้อหายังคงคุณภาพและเอกลักษณ์ไว้อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งในบทความนี้ เราจะพาคุณไปพบกับหลักการทำคอนเทนต์ วิดีโอ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ NAS DAILY ใน 5 ขั้นตอนง่ายๆ ดังต่อไปนี้

1. เริ่มต้นจากคำว่า “YOU”

วิดีโอกว่า 1,000 ตอนของ NAS เราจะพบว่าในเกือบทุกวิดีโอนั้น NAS จะให้ความสำคัญว่าผู้ฟัง หรือ ผู้รับชมวิดีโอนั้น จะได้อะไรจากการดูวิดีโอนี้ หรือ หลังจากการดูวิดีโอนี้จนจบแล้ว ผู้รับชมควรจะได้รับความรู้หรือข้อคิดอะไรบ้าง ในทุกๆ ครั้งที่วิดีโอจบ เราจะได้เรียนรู้ถึงมุมมองของคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นได้อย่างชัดเจนและเข้าใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้เนื้อหาของวิดีโอในแต่ละตอนนั้น สามารถสร้างบทสนทนาและความทรงจำดีๆ ได้อย่างมีคุณค่า

เคล็ดลับ : สำหรับการทำวิดีโอนั้น เริ่มคิดจากว่าใครคือบุคคลที่คุณคิดว่าจะมาดูวิดีโอของคุณ และเมื่อผู้รับชมวิดีโอได้รับชมวิดีโอของคุณแล้ว เขาจะรู้สึกหรือได้ข้อคิดอะไรกลับไปจากเวลาที่เขาเสียไป โปรดจำไว้เสมอว่าหากคุณให้ความสำคัญกับสิ่งที่คุณมี คุณจะไม่ได้รับความสนใจใดๆจากผู้รับชมอย่างแน่นอน

2. 8 วินาทีแรกแห่งการสร้างสัญญา

สำหรับวิดีโอของ NAS DAILY นั้น ได้ให้ความสำคัญกับ กฎ 8 วินาทีแรกของวิดีโอ โดยที่เขานั้นได้ใช้เวลา 8 วินาทีแรกในส่วนของกระบวนการที่เรียกว่า “Preframing” หรือเป็นการสร้างสัญญากับผู้รับชมโดยพูดถึงว่าใน 1 นาทีต่อจากนี้ ผู้ชมจะได้เรียนรู้หรือได้รับประสบการณ์อะไรบ้าง ซึ่งช่วยทำให้วีดิโอของ NAS DAILY นั้นสามารถสร้างความต่อเนื่องและไม่เคยทำให้ใครผิดหวังอย่างแน่นอน !!

เคล็ดลับ : ในช่วงแรกของวีดิโอนั้น การ Preframing คือการที่จะช่วยทำให้ผู้รับชมนั้นสามารถตั้งความคาดหวังได้เท่ากับที่เราอยากจะให้พวกเขาคาดหวัง ซึ่งนั่นจะช่วยทำให้ผู้รับชมเกิดความเข้าใจในบริบทและรับรู้ถึงความเป็นเนื้อแท้ของเนื้อหาในวิดีโอได้มากขึ้น

3. ความสม่ำเสมอคือหัวใจ

ความสม่ำเสมอ (Consistency) คือสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการทำวีดิโอให้เป็นที่น่าสนใจ นั่นจึงเป็นหนึ่งในอีกตัวตัดสินว่าวีดิโอหรือคอนเทนต์ของคุณนั้นจะสามารถสร้างกลุ่มฐานแฟนคลับได้หรือไม่ ซึ่งถึงแม้ว่า Algorithm ของ Facebook นั้นจะทำให้ Organic Post นั้นน้อยลงอย่างต่อเนื่องใน 4-5 ปี ที่ผ่านมานี้ แต่สำหรับ NAS DAILY นั้น วิดีโอของเขานั้น ไม่มีการซื้อโฆษณา แม้แต่น้อย แต่เป็นการอาศัยความต่อเนื่องและความสม่ำเสมอในทุกๆวัน วันละ 1 นาทีเท่านั้น

เคล็ดลับ : จำไว้เสมอว่าคุณจะต้องสร้าง Commitment ในการถ่ายทอดวิดีโอของคุณอย่างสม่ำเสมอ แต่ถึงอย่างนั้น คุณก็ไม่จำเป็นที่ต้องโพสต์วิดีโอหรือคอนเทนต์ทุกๆวัน แต่คุณอาจจะเริ่มจากสัปดาห์ละหนึ่งครั้งหรือเดือนละหนึ่งครั้งก็ได้ เพียงแต่ว่า คุณจะต้องให้ความสำคัญจากการทำทีละเล็กๆอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้าง Momentum ให้เกิดขึ้น

4. ทำให้สั้นเข้าไว้

ปัญหาของคนทำวีดิโอมือใหม่ส่วนมากนั้นคือการที่ตัวเองทำ Script ให้ครอบคลุมเนื้อหาที่จะพูดมากที่สุด สำหรับวิดีโอของ NAS ได้กำหนดไว้เสมอว่าวิดีโอนั้นจะต้องไม่เกิน 1 นาที ซึ่งนั่นอาจจะฟังดูสั้นไปสำหรับใครหลายต่อหลายคน แต่ NAS ก็ได้จำกัดวิดีโอนั้นไว้ที่ 1 นาทีตั้งแต่วิดีโอแรกที่เขาปล่อยลงใน Facebook จนถึงวิดีโอสุดท้าย นั่นเป็นเพราะว่า เขาต้องการที่จะทำให้เนื้อหานั้นมีความชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่ยืดเยื้อ

เคล็ดลับ : คุณอาจจะไม่ต้องทำให้เหลือเพียงแค่ 1 นาทีเหมือนกับ NAS แต่อาจจะทำการวาง Bullet Point ของเนื้อหาให้ชัดเจน และเรียงลำดับการพูดไม่ให้ซับซ้อน ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถจำกัดเนื้อหาที่คุณในระยะเวลาที่คุณต้องการมาก ซึ่งโดยมากนั้นไม่ควรเกิน 3-5 นาที

5. ทำให้สนุกเข้าไว้

สำหรับ Video ที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทางของ NAS นั้น คุณจะเห็นได้ว่า สิ่งที่ทำให้ NAS สามารถทำวิดีโอของเขาได้ทุกๆวัน นั่นคือ เขาได้แบ่งปันประสบการณ์และได้มีส่วนร่วมต่อผู้อื่นตลอดการเดินทาง ซึ่งสำหรับเขาแล้วนั้น ถือเป็นสิ่งที่เขามีความสนใจมานานนั่นเอง

เคล็ดลับ : พยายามทำให้คอนเทนต์หรือวิดีโอของคุณนั้นเป็นเหมือนอีกช่องทางหนึ่งที่คุณมีความสุขที่จะได้ทำมัน เพราะหากคุณฝืนทำในสิ่งที่คุณไม่ได้รักมันจริงๆ ผู้รับชมและฐานแฟนของคุณจะรู้สึกได้

สุดท้ายนี้ “NUSEIR YASSIN” หรือ “NAS” นั้นอาจจะเป็นเน็ตไอดอลของใครหลายต่อหลายคน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังยอมรับและรู้สึกเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้พิเศษหรือเด่นไปกว่าใคร และสิ่งที่เหนือกว่าคนอื่นนั้น ไม่ใช่เพียงแค่วิธีการที่เขาเล่าเรื่อง หรือ ทำวิดีโอเท่านั้น แต่ NAS เชื่อเสมอว่าหน้าที่ของเขาคือการนำเสนอแง่มุมความเป็นมนุษย์ให้คนได้รับรู้มากที่สุด

เรียนรู้เคล็ดลับการสร้างยอด Followed 13 ล้านคน – 25 ล้าน View ผ่านโซเชียลมีเดียกับ Nas Daily ตัวจริง ได้ที่งาน Masters Of The Century ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 22-23 ตุลาคม 2562 ณ ศูนย์การประชุมซันเทค ประเทศสิงคโปร์ โดยในงาน คุณจะได้ฟังถึงประสบการณ์ของ NAS DAILY อย่างใกล้ชิดแน่นอน

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

6 Step เปลี่ยนพฤติกรรมการออมเงินฉบับเร่งรัด

6 Step เปลี่ยนพฤติกรรมการออมเงินฉบับเร่งรัด

ในปัจจุบันค่าครองชีพในบ้านเราพุ่งสูงขึ้นมากแทบจะทุกเรื่อง บางคนมีเก็บแต่ไม่ใช้ บางคนมีใช้แต่ไม่เก็บ คำถามคือ “แล้วจะทำอย่างไรให้มีใช้และมีเก็บล่ะ” เพราะค่าใช้จ่ายทุกวันนี้แทบจะไม่เหลือเงินเก็บเลย ไหนจะค่ากิน ค่าเดินทาง ค่าบ้าน ค่ารถ ฯลฯ พฤติกรรมการใช้เงินของคุณ อาจเป็นปัญหาใหญ่ วันนี้เราจะมาหาทางออกให้คุณกับบทความนี้ ซึ่งจะแบ่งตาม step ต่อไปนี้

Step 1 เก็บให้เร็ว เซฟให้ไว

วิธีนี้คือนวิธีที่ง่ายที่สุด โดยหักรายได้ที่เข้ามาให้เป็นเงินออมอัตโนมัติ คือการเก็บเงินออม 10 – 25 % จากรายได้ ห้ามนำออกมาใช้โดยเด็ดขาด! จะมีทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ควรทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตเราสามารถนำเงินออมไปลงทุนได้อีกด้วย

Step 2 พกเงินให้น้อย ใช้สอยอย่างประหยัด

วิธีนี้ใช้สำหรับคนที่ใช้เงินเก่ง แต่เก็บเงินไม่เก่ง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ โดยกำหนดวงเงินขึ้นมาที่จะใช้จ่ายในแต่ละวัน หากวันไหนเหลือให้นำไปหยอดกระปุก ซึ่งเป็นการออมเงินไปในตัวเองอีกด้วย ส่วนใครที่มีวินัยการออมในตัวอยู่แล้ว อาจจะกำหนดวงเงินเป็นรายสัปดาห์แทนได้

Step 3 งดใช้บัตร Credit เปลี่ยนมาใช้เงินสดแทนดีกว่า

ในส่วนของการใช้บัตร ATM ประเภท Credit Cards เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้เงินรั่วไหลอย่างรวดเร็ว สำหรับวิธีนี้สำหรับคนที่ชอบกระหน่ำช็อป จนไม่ลืมหูลืมตา ควบคุมความต้องการของตัวเองไม่ได้ ต้องแก้ไขโดยการงดใช้บัตรเครดิตในการช็อปปิ้ง เพราะมันจะสร้างพฤติกรรมรูดบัตรอย่างไม่รู้ตัว ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุ ทำให้เป็นหนี้ต่าง ๆตามมาทีหลัง

Step 4 เอาชนะใจตัวเอง ไม่ยึดติด Brand name จนเกินไป

การวางแผนการเงินสำหรับสิ่งที่เราต้องการในอนาคตข้างหน้า อาทิเช่น เพื่อไปเรียนต่อ , การแต่งงาน , ค่ารักษาโรงพยาบาล โดยที่เป้าหมายมีระยะเวลาตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ซึ่งอาจจะเป็น 2ปี 5ปี 10ปี ฉะนั้นเราต้องควบคุมวินัยตนเองอย่างสม่ำเสมอ ความต้องการต่าง ๆ ก็เช่นกัน ต้องย้ำตัวเองเสมอว่าออมเงินไปเพื่ออะไร หรือพูดง่าย  ๆ คือ เอาชนะใจตัวเองโดยการตั้งเป้าหมายนั่นเอง

Step 5 งดซื้อของทางออนไลน์

หลายคนคงมีพฤติกรรมแบบนี้อยู่บ่อยๆ แค่จิ้มนิ้วไปก็ได้ของที่อยากได้มาครอบครอง จนลืมไปว่าเงินในบัญชีก็ลดลงเช่นกัน หากเป็นต่อไปแบบนี้การออมเงินคงเป็นแค่ความฝัน ดังนั้น คุณควรจะคิดเสมอว่าอะไรที่มีอยู่แล้วก็ควรจะพอ ไม่ซื้อของซ้ำๆ หรือถ้าอยากได้มากจริงๆ ควรจำนวณค่าใช้จ่ายออกมาให้ตัวเองเห็นตัวเลขเยอะๆ คุณจะมีความอยากน้อยลง อีกวิธีหนึ่งคือหักดิบ ลบแอพพลิเคชั่นทิ้งไปเลย

Step 6 ปาร์ตี้สังสรรค์ให้น้อยลง

ทำงานมาหนักก็อยากพักผ่อนโดยการไป Hangout กับเพื่อนสักหน่อย แต่ถ้าหากบ่อยมากไปจะทำให้คุณหมดค่าใช้จ่ายไปโดยไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นพฤติกรรมเหล่านี้ถ้าหยุดไม่ได้ก็ควรลดลง สัก 2อาทิตย์ต่อครั้งก็ยังดี หรือหันมาทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน เช่น ออกกำลังกาย หรือทำอาหารทานกันเองสังสรรค์กับที่บ้านก็จะช่วยประหยัดเงินไปได้มาก แถมยังได้ทำกิจกรรมมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้นอีกด้วย

การบริหารจัดการเงิน มีความสำคัญมากในชีวิต จะเห็นได้ว่าการออมเงินนั้นไม่ได้ยากอะไรเลย เพียงแค่คุณตั้งเป้าหมาย และมีระเบียบวินัย เท่านี้คุณก็จะมีเงินออมเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน..

ทีมงาน PAN PHO | ภารกิจของเรา คือ การยกระดับชีวิตด้วยความรู้คุณภาพ  เราคัดสรรความรู้จากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ที่มีผลลัพธ์  เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนมากมายตลอด 18 ปีที่ผ่านมา และเราจะไม่หยุดเพียงแค่นี้!!

10%ของเงินเดือน ก็ไปเที่ยวต่างประเทศได้

10%ของเงินเดือน ก็ไปเที่ยวต่างประเทศได้

10%ของเงินเดือน ก็ไปเที่ยวต่างประเทศได้

17 มิถุนายน 2562 | เขียนโดน Pan Pho Team.

บางท่านอาจมองว่าการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องที่ไกลตัวเหลือเกิน แต่จริงๆแล้วเพียงแค่คุณหันมาออมเงิน 10% จากรายได้ต่อเดือนของคุณ ก็สามารถนำมาสร้างความสุขในการออกเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศได้ตามจำนวนเงินรายได้ของคุณ วันนี้เราจะแสดงให้คุณเห็นว่าไม่ว่าเงินเดือนหลักหมื่นหรือห้าหมื่นก็สามารถนำมาสร้างความสุขให้คุณในการท่องเที่ยวได้เช่นกัน

หากคุณมีรายได้ 15,000 บาท ต่อเดือน แบ่งเก็บ 10% ต่อเดือน เท่ากับจำนวนเงิน 1,500 บาท คุณใช้ระยะเวลาสะสมเพียง 10 เดือน คุณจะได้เงินจำนวน 15,000บาท บางท่านอาจมองว่าเงินจำนวนหมื่นต้นๆจะสามารถไปเที่ยวต่างประเทศได้หรอ? ไปได้จริงมั้ย? วันนี้เราจะมาบอกว่าเงินเพียงเดือนหลักหมื่น ก็สามารถพาคุณไปท่องเที่ยวต่างแดนได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ พม่า กัมพูชา มาเลเซีย หรือ เวียดนาม 

ที่เที่ยวน่าไปสำหรับคนเงินเดือน 15,000: เวียดนาม (อัปเดตปี2019)

ประเทศเวียดนาม หนึ่งในประเทศท่องเที่ยวยอดฮิตของคนไทยในช่วงนี้ คุณสามารถเดินทางไปเที่ยวดานัง ด้วยงบ 15,000 บาท คุณจะได้เดินทางไปยังเมืองท่าที่สำคัญของเวียดนาม มีทั้งทะเลใส หาดทรายขาวสวยติดอันดับของโลก ประเทศเวียดนามถือว่าเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจในทางด้านวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันอย่างหลากหลายไม่ว่าจะจีน หรือ ฝรั่งเศส

แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อในดานังอย่าง Bana Hills ถูกสร้างขึ้นจากชาวฝรั่งเศสที่ได้เข้ามาสร้างไว้เมื่อ 120 ปีที่แล้ว สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเหมือนคุณได้เดินทางไปเที่ยวยุโรปขนาดย่อม Bana Hills บรรยากาศแบบเมืองเทพนิยายบนดานัง ที่มีทั้ง สวนดอกไม้ สวนสนุก ร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรมหรู และ Golden Bridge ถือได้ว่าเป็น Landmark ที่ทุกคนต้องไปเช็คอินเมื่อเดินทางไปเที่ยวดานัง

การเดินทางท่องเที่ยวดานังด้วยงบ 15,000 บาท (4วัน 3 คืน) (ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา)

  • ค่าตั๋วไปกลับกรุงเทพฯ – ดานัง เริ่มต้นที่ 2,500 บาท
  • ค่าที่พัก เริ่มต้นที่ 600 บาท/ต่อคืน
  • ค่าอาหาร เริ่มต้นที่ 75 บาท/ต่อมื้อ
  • การเดินทางในดานัง เริ่มต้นที่ 500 บาท/ต่อวัน

 รายได้ 25,000 บาท ต่อเดือน หากคุณแบ่งเก็บ 10% เป็นจำนวนเงิน 2500 บาทต่อเดือน คุณใช้เวลาสะสมเป็นเวลา 10 เดือน คุณจะได้เงินจำนวน 25,000 บาท ที่จะพาคุณเดินทางไปท่องเที่ยวในดินแดนยอดนิยมอย่าง ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า หรือ บาหลี (เกาะชื่อดังของประเทศอินโดนีเซีย)

ที่เที่ยวน่าไปสำหรับคนเงินเดือน 25,000 : บาหลี (อัปเดตปี2019)

บาหลีเกาะที่นักท่องเที่ยวนิยมไปพักผ่อน เกาะที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติ มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายไม่ว่าจะเป็น ทะเล ภูเขา ทะเลสาบ น้ำตก อีกทั้ง บาหลี ขึ้นชื่อเรื่องของความสวยงามทางด้านวัฒนธรรมดั้งเดิม อาทิเช่น วัด พิธีกรรม ศิลปะต่างๆ สถานที่ highlight ที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่ไปเยือนบาหลีแล้วต้องไปเช็คอินคือ Pura Ulun Danu Bratan หรือ ที่คนไทยหลายๆคนเรียกว่า วัดบราตัน เทวสถานกลางทะเลสาบ ที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1633 เพื่อให้เทพเจ้าฮินดูผู้ดูแลน้ำและทะเลสาบที่ถือเป็นแหล่งน้ำสำคัญต่อการทำเกษตรของชาวเกาะบาหลี

การเดินทางท่องเที่ยวบนเกาะบาหลีด้วยงบ 25,000 บาท (4วัน 3 คืน) (ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา)

  • ค่าตั๋วไปกลับกรุงเทพฯ-ดานัง เริ่มต้นที่ 3,000 บาท/ต่อเที่ยว
  • ค่าที่พักเริ่มต้นที่ 1,500 บาท/ต่อคืน
  • ค่าอาหาร เริ่มต้น 100 บาท/ต่อมื้อ
  • การเดินทางในดานัง เริ่มต้นที่ 1000 บาท/ต่อวัน

แต่ถ้าหากคุณมีรายได้ถึงเดือนละ 35,000 บาท เพียงแค่ออมเงิน 10ของเงินเดือน เป็นเงิน 3,500 บาท ออมทั้งหมด 10 เดือน คุณจะได้เงินเก็บในส่วนของการใช้จ่ายไปเที่ยว เป็นเงิน 35,000 บาท โดยสามารถพาคุณเดินทางไปเยือนทวีปยุโรปได้ ในราคาของบริการทัวร์ เริ่มต้นเที่ยวประเทศในยุโรปที่ราคา 30,000 บาท ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส ฮังการี หรือ อิตาลี

เชื่อว่าหลายๆคน คงมีความฝันว่าสักครั้งในชีวิตอยากที่จะได้เดินทางไปเที่ยวประเทศในยุโรป แต่บางคนอาจมองว่าการเดินทางไปยุโรปเป็นเรื่องที่ยากและมีค่าใช้จ่ายเยอะ แต่ความจริงแล้วคุณสามารถเดินไปเที่ยวยุโรปได้ด้วยจำนวนเงิน 35,000 บาท ด้วยทางเลือกบริการอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ‘ทัวร์’ การใช้บริการจากทัวร์ที่จัดทริปท่องเที่ยวให้คุณ แม้คุณอาจจะไม่มีอิสระในการท่องเที่ยวได้อย่างที่ต้องการ แต่ถือว่าเป็นทางเลือกสำหรับผู้มีงบจำกัดในการท่องเที่ยว ถือเป็นทางเลือกที่สามารถพาคุณไปท่องเที่ยวที่ยุโรปได้

ที่เที่ยวน่าไปสำหรับคนเงินเดือน 35,000 : อิตาลี  (อัปเดตปี2019)

35,000 บาท คุณสามารถซื้อบริการจากบริษัททัวร์ โดยทัวร์ท่องเที่ยวประเทศในยุโรปมีราคาขั้นต่ำตั้งแต่ 29,000 – 35,000 บาท เช่น ประเทศอิตาลี เมืองในฝันของใครหลายๆคน เมืองแห่งแฟชั่น และการช็อปปิ้งอย่างมิลาน ทั้งยังมีศิลปวัฒนธรรมที่สวยงามอย่าง มหาวิหารมิลาน (Milan Cathedral) มหาวิหารโกธิคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ธรรมชาติทัศนียภาพที่ละลานตา ทะเลสาบโคโม่ที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในอิตาลี คุณสามารถดื่มด่ำได้ทั้งความสวยงามและความเป็นระเบียบของสิ่งก่อสร้างโบราณชื่อดัง หรือบรรยากาศความสวยงามด้านทัศนียภาพของธรรมชาติ

การเดินทางข้ามเส้นขอบฟ้าไปยังดินแดนที่ห่างไกลจากประเทศไทยและสามารถท่องเที่ยวหลากหลายประเทศในครั้งเดียว หากคุณมีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือนและเก็บออม 10% ของเงินเดือนเป็นเงินจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน เก็บเป็นเวลา 10 เดือน คุณจะได้เงินเก็บส่วนนี้เป็นเงิน 50,000 บาท คุณจะสามารถใช้บริการทัวร์ท่องเที่ยวที่รวบรวมประเทศในแถบยุโรปตะวันออกไว้ คุณจะได้ไปประเทศทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติเหล่านี้ ออสเตรีย สโลวาเกีย และ สาธารณรัฐเช็ค

ที่เที่ยวน่าไปสำหรับคนเงินเดือน 50,000 : ยุโรปตะวันออก  (อัปเดตปี2019)

ข้อดีของการใช้บริการทัวร์ คือคุณสามารถไปท่องเที่ยวได้หลากหลายที่ในงบประมาณที่จำกัด คุณสามารถได้ไปสัมผัสกับประสบการณ์ที่หลากหลายวัฒนธรรมในยุโรปตะวันออกเมืองแห่งความ Classic Romantic และเมืองแห่งการท่องเที่ยว คุณจะได้พบกับจุด Landmark ชื่อดังไม่ว่าจะเป็น ประตู michalska brana  ที่บราติสลาวา สะพานชาร์ล ที่กรุงปราก เดินทางไปชมกับพระราชวังเชรินน์บรุนน์ ที่เวียนนา

ใครว่ารายได้ของคุณจะไม่สามารถพาคุณออกเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ เพื่อเปิดประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายจากทั่วมุมโลกได้ เพียงแค่คุณรู้จักวิธีการจัดการในการบริหารเงินให้มีถูกวิธีและประสิทธิภาพ คุณไม่จำเป็นต้องอดเพื่อออม และยังมีเงินเหลือเก็บเพื่อใช้สร้างความสุขส่วนตัวได้ ไม่ว่าจะรายได้ 15,000 หรือ 35,000 หากคุณไม่รู้จักการจัดสรรและบริหารเงินที่ดี คุณก็ไม่สามารถมีความสุขในจำนวนของเงินเดือนของตัวเองได้

วิธีการออมเงินที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ระบบ 6JARS คือ วิธีการจัดสรรรายได้ของคุณให้เป็นระบบ โดยมีการแบ่งเงินออกเป็น 6 ส่วน ที่มีวัตถุประสงค์ในการเก็บเงินแต่ละกระปุกที่ต่างกันออกไป 6JARS ถือ เป็นวิธีการบริหารเงินที่ง่ายต่อการปฏิบัติตามและได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

การเก็บเงินตามวิธีการ 6JARS สามารถช่วยให้คุณบริหารเงินให้มีประสิทธิภาพ ไม่ให้คุณใช้จ่ายเกินตัว และมีเงินเก็บที่สามารถสร้างผลกำไรเมื่อเวลาผ่านไป ถือเป็นวิธีการที่ปฏิบัติตามได้ง่าย แต่เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน คุณสามารถเปลี่ยนระบบความคิดเกี่ยวกับการเงินของตัวเอง กล้าที่จะใช้จ่าย ไม่ต้อง “อด” เพื่อ “ออม” ถือได้ว่ามีเงินเพียงพอที่จะนำมาสร้างความสุขให้ตนเองได้


ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

12 เรื่องต้องรู้ก่อนเริ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ [อัพเดตปี 2024]

12 เรื่องต้องรู้ก่อนเริ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ [อัพเดตปี 2024]

12 เรื่องต้องรู้ก่อนเริ่มธุรกิจอสังหาฯ [อัพเดตปี 2024]

เปิดเคล็ดลับการทำอสังหาริมทรัพย์ทุกรูปแบบใน 12 ขั้นตอนแบบไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก

หลายคนเชื่อว่าการลงทุนทำธุรกิจหรือโครงการอสังหาริมทรัพย์เป็นหนทางสู่ความร่ำรวย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำแล้วจะรวย  หลายคนที่ทำแล้วเจ๊งหมดตัวเลยก็มี คนที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้วประสบความสำเร็จจะให้ความสำคัญ  เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เจาะลึกข้อมูล และทำงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งแตกต่างๆ กับคนที่ทำอสังหาฯ แล้วเจ๊งโดยไม่รู้สาเหตุ

ผู้ประกอบการหรือนักพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องมีความรู้อย่างน้อย 12 เรื่องดังนี้

1. ทำเล
โครงการอสังหาฯ แต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างมาก สำหรับคนที่มีที่ดินอยู่แล้วก็ถูกบังคับด้วยโจทย์ของที่ดินว่าเหมาะสำหรับทำโครงการอสังหาฯประเภทไหน แต่สำหรับคนที่ยังไม่มีที่ดิน จะมีทางเลือกในการทำโครงการในฝันได้มากกว่า
.
อย่างไรก็ตามการเลือกทำเลในการทำโครงการอสังหานั้นก็มีปัจจัยในการพิจารณาหลักๆ ดังนี้ เช่น ประชากรต่อพื้นที่ (ดูได้ที่ สถิติทางการทะเบียน กรมการปกครอง) เพื่อวิเคราะห์ว่าประเภทของโครงการอสังหาฯ ที่กำลังคิดจะทำนั้นเหมาะสมกับพฤติกรรมของประชากรที่อยู่ในพื้นที่นั้นหรือไม่ เช่น หาคุณอยากทำโครงการคอนโด แต่ประชากรในพื้นที่ยังไม่หนาแน่น การเดินทางที่เข้าถึงยาก ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ตลาด ร้านอาหาร โรงเรียน ซูปเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า ถ้าฝืนทำโครงการ ก็อาจจะใช้เวลาหลายปี หรือ เป็นสิบปีจนกว่าบริเวณรอบโครงการจะเจริญ รวมทั้งราคาประเมินที่ดิน (ดูเพิ่มเติม สำนักงานที่ดิน กรมธนารักษ์) จะคุ้มค่าในการลงทุนทำโครงการหรือไม่

2. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำโครงการอสังหาฯ
อย่าเพิ่งทำการใดๆ ถ้ายังไม่รู้ว่าที่ดิน หรือ ทำเลที่ตั้งที่กำลังจะทำโครงการอสังหาฯ นั้นเป็นสีใดในผังเมือง (กฎหมาย ด้านโยธาธิการและผังเมือง) เพราะแต่ละสีมีเงื่อนไขในการใช้ประโยชน์ของที่ดิน และ ราคาซื้อขายที่แตกต่างกัน หากไม่ศึกษาให้ดี อาจไม่สามารถเปิดโครงการได้เพราะผิดกฎหมาย ทำให้มีผลกับต้นทุนของโครงการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ผังเมืองสีเขียว (เกษตรกรรม) ไม่สามารถทำโครงการบางประเภทได้ เช่น ห้างสรรพสินค้า คอนโดฯ ถ้าเกิดมีที่ดินมรดกอยู่ในผังเมืองสีเขียว ก็อาจจะต้องเปลี่ยนไปทำโครงการสวนเกษตร ปลูกผักออแกนิค หรือ ศึกษาเทรนของตลาดเพื่อมาใช้ศักยภาพของที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด สิ่งเหล่านี้ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ที่ยังไม่ศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนประสบความผิดพลาดล้มเหลวได้

3. การออกแบบโครงการอสังหาฯ 
เมื่อศึกษาจนรู้ (สีผังเมือง) ว่าจะสร้างโครงการอสังหาฯ แบบไหนบนแปลงที่ดินที่เลือกไว้แล้ว เช่น จะสร้างโครงการทาวน์เฮ้าส์ขนาดเล็ก ก็ต้องออกไปสำรวจวิจัยตลาดว่า เจ้าถิ่น คู่แข่งหลัก คู่แข่งรอง ออกแบบโครงการอย่างไร มีคอนเซป และจุดขายอย่างไร ถ้ามีโครงการไหนถูกใจบ้าง ก็เก็บข้อมูลไว้ให้ละเอียดเพื่อมาทำการวิเคราะห์ว่าโครงการที่กำลังจะเริ่มพัฒนาสามารถทำให้ทัดเทียม หรือดีกว่าได้หรือไม่ หากออกแบบโครงการได้ดีกว่า มีจุดเด่นที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้า และ ตลาดบริเวณนั้นยังไม่มีก็มีโอกาสชนะได้มากยิ่งขึ้น
.
อย่างไรก็ตามเวลาไปสำรวจตลาด ควรให้สถาปนิก หรือ ผู้ที่รับผิดชอบด้านการวางแผนการตลาดไปดูด้วยเพื่อจะได้เห็นมุมมองมาออกแบบรูปแบบบ้าน (สถาปนิกช่วยได้) วิจัยและวิเคราะห์จุดแข็งเพื่อเตรียมวางแผนการตลาดและส่งเสริมการขาย (นักการตลาดช่วยได้)

4. การออกแบบสินค้า
ถือว่าเป็นงานปราบเซียนของนักพัฒนาอสังหาฯ มือใหม่ที่จะต้องออกแบบสินค้าให้แตกต่างกับคู่แข่งที่อยู่ในพื้นที่ มีความทันสมัย ตอบโจทย์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เช่น ขนาดของครอบครัวจะสัมพันธ์กับจำนวนห้อง พฤติกรรมการกินอยู่ ทำอาหารกินเอง หรือ ซื้อบ่อยกว่าจะมีความสัมพันธ์กับขนาดห้องครัว ถ้าครอบครัวใหญ่ ห้องครัวจะต้องใหญ่ หรือ อาจจะมีครัวไทยแยก พฤติกรรมการเดินทางไปทำงาน ไปด้วยรถยนต์ส่วนตัว จะสัมพันธ์กับที่จอดรถ 1 คัน 2 คัน เป็นต้น
.
นักพัฒนาอสังหาฯ ควรให้ความใส่ใจในการใช้มืออาชีพมาออกแบบสินค้า เช่น ทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว คอนโด โดยสถาปนิกมืออาชีพและมีความประสบการณ์เชี่ยวชาญในการออกแบบสินค้าประเภทนั้น เพราะผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้สามารถช่วยป้องกันปัญหาที่ไม่คาดคิดในการออกแบบ และ ช่วยออกแบบให้สินค้ามีจุดเด่นเหนือคู่แข่ง และลูกค้าอยากได้ ข้อควรระวัง อย่าใช้สถาปนิกผิดประเภท เช่น เชี่ยวชาญออกแบบโรงงานมาออกแบบทาวน์เฮ้าส์ หรือ อย่าไปลอกเลียนแบบห้องของโครงการนี้มาแปะร่วมกับโครงการนั้น เพราะแต่ละแบบบ้านมีที่มาแตกต่างกัน สุดท้ายขายไม่ออก เดี๋ยวจะกลายเป็นเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียได้” 

5. การขอสินเชื่อ
สินเชื่อเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เพราะโครงการอสังหาริมทรัพย์แต่ละโครงการจำเป็นต้องใช้เงินหมุนเวียนจำนวนมากกว่าจะทำให้โครงการเสร็จสมบูรณ์ ตั้งแต่เริ่มซื้อที่ดิน ค่าก่อสร้าง การเสริมสภาพคล่องให้โครงการเพื่อให้สามารถส่งมอบบ้าน หรืออาคารที่เสร็จสมบูรณ์ให้กับผู้ซื้อ ผู้ประกอบการต้องศึกษาข้อมูลการขอสินเชื่อ และ ประเภทวงเงินให้ชัดเจน ว่าต้องการเงินไปเพื่อกู้ซื้อที่ในการพัฒนาโครงการ กู้เพื่อสร้างสาธารณูปโภค เช่น ถมดิน ปรับปรุงสภาพที่ดิน หรือพัฒนาสาธารณูปโภคในโครงการ กู้เพื่อเป็นค่าก่อสร้างอาคารในโครงการ ตามประเภทของการพัฒนา เช่น บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ หรือ คอนโดฯ และต้องเตรียมเอกสารต่างๆ เพื่อประกอบในการยื่นขอสินเชื่อ 
.
อย่ามัวแต่คิด และอยู่ในความสงสัย ให้เดินไปหาสถาบันการเงินดีกว่านั่งคิดคนเดียว จะมีผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาเฉพาะด้าน โดยส่วนใหญ่จะไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะสถาบันการเงินเหล่านั้นต้องการแย่งลูกค้า(ชั้นดี)เพื่อให้มาขอสินเชื่ออยู่แล้ว 

6. การบริหารต้นทุน
ต้นทุนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำโครงการ ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และ เตรียมตัวทางการเงินไว้เป็นอย่างดี เพราะต้องใช้เงินทุนมากมายกว่าจะทำโครงการให้ประสบความสำเร็จได้สักหนึ่งโครงการ
.
ต้นทุนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีหลักใหญ่ๆ ดังนี้ ต้นทุนขาย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากที่ดินที่จะจัดสรรขาย ค่าใช้จ่ายก่อนเริ่มโครงการ ค่าจัดทำสาธารณูปโภค เช่น ค่าที่ดิน ค่าถมดิน ค่าก่อสร้าง ระบบไฟฟ้า ระบบประปา ระบบระบายน้ำ ระบบโทรศัพท์ ค่าก่อสร้างสระว่ายน้ำ ค่าปลูกต้นไม้ ถนน ค่ารื้อถอน ค่าก่อสร้าง เป็นต้น ผู้ประกอบการจึงมีความจำเป็นต้องหาผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ตรงในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ มาช่วยทำด้านนี้เพื่อจะได้จัดสรรเงินลงทุน ค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ยสินเชื่อ และ สภาพคล่องเพื่อทำให้โครงการสามารถเดินหน้าโดยไม่สะดุดและควบคุมต้นทุนได้ตามที่วางไว้

7. การบริหารงานก่อสร้าง
โครงการอสังหาริมทรัพย์มากมายที่มีปัญหากับผู้รับเหมา และ ทำให้เกิดความล่าช้าไม่สามารถทำงานก่อสร้างได้ตามเป้าหมาย เป็นเพราะผู้ประกอบการขาดความรู้ ความเข้าใจ ความรัดกุมในการบริหารงานก่อสร้าง
.
ผู้ประกอบควรหาความรู้ด้านการบริหารงานก่อสร้าง (Construction Management) เพื่อจะมีความรู้ในการทำงานกับผู้รับเหมาตั้งแต่ช่วงก่อนการก่อสร้าง” “ช่วงระหว่างการก่อสร้าง” “ช่วงหลังงานก่อสร้างเพื่อจะได้ควบคุมงบประมาณและงานก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
แต่หากผู้ประกอบการพอมีงบประมาณในการจ้างมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารงานก่อสร้างมาทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างเจ้าของโครงการและผู้รับเหมา ก็จะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระและได้รับผลงานตรงตามรูปแบบที่ต้องการอย่างมีมาตรฐาน ทำให้ค่าใช้จ่ายอยู่ในงบประมาณที่กำหนด และยังช่วยกำกับดูแลให้สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ตามเป้าหมายที่วางไว้โดยไม่ต้องปวดหัวกับการแก้ปัญหาที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน

8. การตั้งราคาขาย
ผู้ประกอบการต้องมีความรู้ปัจจัยต่างๆ เพื่อใช้ในการตั้งราคาขายอสังหาฯ เช่น ต้นทุนค่าที่ดินและงานก่อสร้าง (ไม่ควรเกิน 70%ของราคาขาย) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน การแข่งขันในตลาด ราคาของคู่แข่งมีผลต่อการกำหนดราคาและควรตั้งราคาให้จูงใจลูกค้า กำลังซื้อหรือความสามารถในการซื้อของลูกค้า
.
ปัจจัยเหล่านี้สามารถชี้อนาคตของโครงการได้เลยว่าจะขายได้หรือไม่ เพราะหากตั้งราคาต่ำกว่าตลาดมากไปก็จะขาดทุน หากตั้งราคาสูงไปก็จะขายได้ยากเมื่อลูกค้านำราคาไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง อีกปัจจัยสำคัญคือ ราคาหรือมูลค่าตลาด (Market Value) ในขณะนั้นเป็นสำคัญ ซึ่งการตั้งราคาขายที่สูงกว่าหรือต่ำกว่ามูลค่าตลาดจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณลูกค้าที่สนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้นๆ 

9. การวางแผนการตลาด
ส่วนสำคัญในการทำให้โครงการอสังหาริมทรัพย์แต่ละโครงการให้สามารถขายได้ตามเป้าประสงค์นั้นมาจากการวางแผนการตลาดที่มีประสิทธิภาพ นักพัฒนามืออาชีพจะให้ความสำคัญกับการวางแผนการตลาดตั้งแต่เริ่มต้นจัดทำโครงการ เนื่องจากการวางแผนการตลาดจะต้องนำข้อมูลคู่แข่ง ราคา กลุ่มเป้าหมาย กลยุทธ์ส่งเสริมการขายมาวิเคราะห์เพื่อหาแผนที่ดีที่สุดเพื่อให้โครงการอสังหาสามารถปิดการขายได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำให้โครงการได้รายได้และผลกำไรตามที่ต้องการหรืออาจสูงกว่าที่คาดไว้เพราะประหยัดต้นทุนค่าดอกเบี้ยและค่าบริหารการขาย
.
ปัจจุบันการวางแผนการตลาดและส่งเสริมการขายสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าจำนวนมากผ่านทางออนไลน์ทำให้ผู้ประกอบการประหยัดต้นทุนและเวลาไปได้มาก อย่างไรก็ตามผู้ประกอบต้องติดตามกลยุทธ์ทีใช้และผลตอบรับอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับเปลี่ยนให้ทันกับตลาดและสถานการณ์

10. สินเชื่อสำหรับลูกค้า
ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้องศึกษาข้อมูลสินเชื่อสำหรับลูกค้าสำหรับการซื้ออสังหาฯ ในระดับราคาต่างๆ ของโครงการได้โดยปรึกษากับสถาบันการเงินที่โครงการใช้อยู่ หรือ ธนาคารที่มีนโยบายที่เอื้อต่อโครงการ เช่น ดอกเบี้ยอัตราที่ดี การให้วงเงินกู้สูง เพื่อเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับลูกค้า และทำให้เกิดการตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการจัดทำเป็นข้อมูลสำหรับส่งเสริมการขาย
.
อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการสามารถวางแผนคุณสมบัติของกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมและมีกำลังซื้อได้ตั้งแต่เริ่มทำโครงการ เพราะหากเน้นราคาต่ำเพื่อดึงกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อน้อย ถึงแม้จะขายได้จริง แต่อาจจะติดปัญหาไม่สามารถโอนหลักทรัพย์ได้ เพราะไม่ผ่านเกณฑ์ของสถาบันการเงิน ทำให้ปิดโครงการไม่ได้ เกิดต้นทุนเพิ่มและเสียโอกาสการขาย

11. การเตรียมการขาย
ไม่ว่าจะเป็นโครงการอสังหาฯ ขนาดเล็ก หรือ ใหญ่ ผู้ประกอบควรให้ความสำคัญกับเรื่องเอกสารเพื่อใช้ในการขาย เพราะแสดงถึงความเป็นมืออาชีพและสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า เช่น ใบราคา เงื่อนไขการซื้อ การผ่อนชำระ การผิดนัดชำระ รายละเอียดทรัพย์ที่ลูกค้าประสงค์จะซื้อ เงื่อนไขการปรับเปลี่ยนแก้ไขต่อเติม สัญญาจะซื้อจะขาย และเอกสารอื่นๆ ที่ทำให้ผู้ซื้อทราบข้อมูลที่ชัดเจนและเกิดความสบายใจ ผู้ขายเองก็ไม่ต้องปวดหัวกรณีผู้ซื้อผิดสัญญา และผู้ซื้อได้ทราบและทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนตัดสินใจซื้อ
.
อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญสำหรับการขายอีกอย่างคือ พนักงานที่ดูแลการขาย ควรได้รับการอบรมความรู้ของสินค้าเป็นอย่างดี บุคลิกน่าเชื่อถือ สุภาพ มีใจรักบริการ พร้อมทั้งมีข้อมูลของคู่แข่งมากพอเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่กำลังลังเลในการตัดสินใจ หากมีครบตามที่กล่าวมาก็จะสร้างโอกาสปิดการขายที่รวดเร็วยิ่งขึ้น

12. บริการหลังการขาย
หากเป็นโครงการอสังหาฯ ขนาดเล็กที่ไม่เข้าเกณฑ์กฎหมายจัดสรรก็ไม่จำเป็นต้องมีนิติบุคคลในการดูแลหลังการขาย อาจมีการดูแลรับประกันการก่อสร้างตามระยะเวลา แต่สำหรับโครงการอสังหาฯ ที่เข้ากฎหมายจัดสรร ผู้ประกอบการจะต้องจัดให้มีนิติบุคคลดูแลโครงการต่อไป เช่น คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร ผู้ประกอบการต้องมีนิติบุคคลมืออาชีพคอยดูแลหลังจากที่ส่งมอบทรัพย์กันเรียบร้อยแล้วคอยดูแลเรื่องซ่อมบำรุงรักษาให้โครงการสวยงามน่าอยู่ ดูแลความปลอดภัยที่ทำให้อุ่นใจ ดูแลชุมชนให้น่าอยู่
.
ผู้ประกอบการที่ดีต้องให้ความสำคัญกับบริการหลังการขายเพราะเป็นต้นทุนของการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้โครงการ และ เกิดการบอกต่อในด้านดีกับลูกค้าของโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งโครงการหลายแห่งเมื่อมีการขยายโครงการในทำเลใหม่ก็เกิดการจอง และ ซื้อขายหมดเพียงเปิดตัวโครงการไม่กี่วัน ประหยัดต้นทุนการตลาดและการขายได้อย่างคิดไม่ถึง

หากคุณกำลังอยากจะมีโครงการอสังหา หรือ กำลังคิดอยากมีโครงการของตนเอง  หลักสูตร Silpakorn University Real Estate Program (SURE) คือหนึ่งในหลักสูตรที่ได้รับความนิยมด้วยเนื้อหาและวิทยากรชั้นนำระดับประเทศมาให้ความรู้ เครื่องมือ และมิติการทำงานในโลกของอสังหาริมทรัพย์ไทยตลอดทั้ง 7 สัปดาห์ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดและช่องทางการสมัครได้แล้ววันนี้ที่ LINE:@PANPHO หรือ 094-242-4197 (ตลอด 24 ชั่วโมง)

ทีมงาน PAN PHO | ภารกิจของเรา คือ การยกระดับชีวิตด้วยความรู้คุณภาพ  เราคัดสรรความรู้จากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ที่มีผลลัพธ์  เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนมากมายตลอดเวลาที่ผ่านมา

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE:@PANPHO หรือ 094-242-4197 (ตลอดเวลา)

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก