Business Experts Ep.1 – “Customer Insights :ทำอย่างไรจะรู้ใจลูกค้าได้มากขึ้น” | อาจารย์ ดร. ชมพูนุท ผ่องจิตร์

Business Experts Ep.1 – “Customer Insights :ทำอย่างไรจะรู้ใจลูกค้าได้มากขึ้น” | อาจารย์ ดร. ชมพูนุท ผ่องจิตร์

Business Experts Ep.1 – “Customer Insights:ทำอย่างไรจะรู้ใจลูกค้าได้มากขึ้น” 

22 มกราคม 2563 | จัดทำโดย Pan Pho Production.

Customer Insights คืออะไร?

พบกับ อาจารย์ ดร. ชมพูนุท ผ่องจิตร์ อาจารย์อาจารย์กลุ่มสาขาวิชาบริหารธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่จะมาเจาะลึกวิธีคิดและกลยุทธ์การค้นหา Customer Insights ที่ใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจในยุคที่การตลาดออนไลน์นั้นมีการแข่งขันอย่างสูง พร้อมกับฟังประสบการณ์วิธีการสร้าง Customer Insights แบบง่ายๆ ที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป

ติดตาม Business Experts ได้ทุกวันพุธเว้นพุธ เวลา 19:00 น.ได้ทาง PanPho.com

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

4 เรื่องที่ “คนอยากรวย” ควรทำ

4 เรื่องที่ “คนอยากรวย” ควรทำ

4 เรื่องที่ “คนอยากรวย” ควรทำ

20 มกราคม 2563 | เขียนโดย Pan Pho Team.

ใครบ้างไม่อยากรวย? ทุกคนอยากร่ำรวย  อยากมีอิสรภาพทางการเงิน คนที่ฝันและตั้งเป้าหมายแค่อยากมีเงินใช้เลี้ยงชีพให้เพียงพอ ก็จะหารายได้แบบพอเพียง  แต่บางคนมีฝันที่ยิ่งใหญ่ อยากรวย อยากมีพร้อมทุกสิ่งอย่าง รอบล้อมด้วยความหรูหรา ฝันที่ยิ่งใหญ่ก็ต้องมาพร้อมกับการหารายได้ที่ใหญ่ยิ่งด้วยเช่นกัน  ซึ่งเขียนให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้

ชีวิตธรรมดา  =  มีรายได้แบบธรรมดาก็พออยู่ได้
ชีวิตหรูหรา  =  มีรายได้ระดับเหนือธรรมดาถึงจะอยู่ได้

แต่ความเป็นจริงในชีวิตสังคมปัจจุบันคนส่วนใหญ่ที่อยากรวยก็ไม่รอให้มีรายได้ก่อน  แต่ตัดสินใจใช้ “ชีวิตหรูหรา แต่มีรายได้ธรรมดา” (โดยเฉพาะคนเมือง)

จึงทำให้ยิ่งห่างไกลความร่ำรวยมากยิ่งขึ้น  หนำซ้ำทำให้ชีวิตตกต่ำกลายเป็นหนี้สิน  เพียงเพราะคนเหล่านั้นไม่รู้เทคนิคที่คนรวย “คิด” และ “ทำ” จึงไม่เคยเข้าใกล้ความรวย

T.Harv Eker ผู้เขียนหนังสือถอดรหัสลับสมองเงินล้านและผู้คิดค้น Millionaire Mind Intensive ที่โด่งดังไปทั่วโลกกล่าวไว้ว่า “การบริหารเงินจนกลายเป็นนิสัย ย่อมมีความสำคัญกว่าจำนวนเงินที่เราบริหาร”

แล้วคุณบริหารเงินของคุณอย่างไร?
ลองถามตัวคุณเองสิว่า  คุณใช้เงินก่อนแล้วค่อยออม? หรือ คุณออมเงินก่อนแล้วค่อยใช้?

ทุกคนมี 24 ชั่วโมงเท่ากันไม่ว่าจะจนหรือรวย  แต่ทำไมจึงมีผลลัพธ์ทางการเงินแตกต่างกันสุดขั้ว!?

เรียนรู้ 4 เทคนิคที่ “คนอยากรวย” ควรทำ  เพื่อให้เปลี่ยนสถานะเป็นคนรวยได้

เรื่องที่ 1 : เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องเงินและการลงทุน

คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการเก็บเงิน  แต่กลัวที่จะนำเงินที่เก็บออมไปลงทุน เพราะการลงทุนแทบทุกประเภทมีความเสี่ยง แต่หากเก็บเงินไว้ในบัญชีธนาคารโดยรอรับแต่ดอกเบี้ยเงินฝากนั้น  “เงินของคุณมีมูลค่าลดลง” เหตุที่ลดลงเพราะดอกเบี้ยที่ได้รับจากการฝากเงินนั้นน้อยกว่า “อัตราเงินเฟ้อ”

อัตราเงินเฟ้อคืออะไร? อัตาราเงินเฟ้อ คือ เงินที่คุณเก็บไว้มีมูลค่ามีน้อยลง ยกตัวอย่างเช่น

25 บาท เมื่อ 20 ปีก่อน สามารถซื้อข้าวราดแกงได้ 1 จาน
25 บาท ปัจจุบันนี้ต้องใช้เงิน 40 บาท ถึงจะซื้อข้าวราดแกงได้

ยิ่งเก็บเงินโดยไม่ลงทุนใดๆ เลย มูลค่าเงินที่ถือไว้อยู่จะลดลงไปเรื่อยๆ

ความฉลาดทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญถ้า “อยากรวย” ซึ่งจำเป็นต้องหาความรู้เกี่ยวกับเงินและการลงทุน

ปัจจุบันนี้การลงทุนมีหลากหลายรูปแบบมากกว่าในอดีต  ทำให้สามารถเก็บเงินและลงทุนไปโดยมูลค่าของเงินจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ล่วงผ่านไป

ความรู้เรื่องเงินและการลงทุนเป็นพื้นฐานที่สำคัญก่อนที่จะนำเงินที่มีไปลงทุน  กุญแจสำคัญของการเพิ่มเงินให้รวยเร็วขึ้นคือ “ความรู้ในการลงทุน” ยิ่งมีความรู้ด้านการลงทุนมากขึ้นเท่าใด ยิ่งทำให้เงินที่มีอยู่เพิ่มมูลค่าและงอกเงยได้มากขึ้นเท่านั้น

เรื่องที่ 2 : แบ่งเงินเพื่อใช้จ่ายและลงทุนอย่างเป็นระบบ

คนส่วนใหญ่เมื่อได้เงินเดือนหรือรายได้มาก็จะนำไปชำระให้กับค่าใช้จ่ายก่อนที่จะนำเงินไปออมหรือลงทุน   โดยมีความคิดและปฏิบัติเป็นอัตโนมัติมาตลอดว่า “ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายก่อน”  แล้วเมื่อไรเงินเหลือถึงจะมานำมาออมหรือลงทุน

ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือ หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วไม่เคยเหลือเงินที่จะมาออมเลย

T.Harv Eker ต้นฉบับผู้สอนวิธีการเก็บเงินแบบ 6 กระปุก ที่ทำให้คนมากมายหลุดพ้นจากการเป็นหนี้ ช่วยให้คนร่ำรวยจากการเก็บเงินแบบง่ายๆ นี้มาแล้วหลายล้านคนทั่วโลก 

เพียงแบ่งเงินออกเป็นประจำหรือทุกๆ เดือนก็สามารถทำให้ “คนอยากรวย” มีฝันที่เป็นจริงได้

วิธีการเก็บเงินแบบ 6 กระปุกแบบง่ายๆ

กระปุกที่ 1 : กระปุกความจำเป็น NEC (Necessities Jar) 55% คือ เงินที่คุณต้องใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทั่วไป

กระปุกที่ 2 : กระปุกแห่งอิสรภาพทางการเงิน FFA (Financial Freedom Account Jar) 10% คือ เงินที่คุณต้องเก็บออมเพื่ออิสรภาพทางการเงิน

กระปุกที่ 3 : กระปุกเงินออมระยะยาวเพื่อการใช้จ่าย LTSS (Long-Term Saving for Spending Jar) 10% คือ เงินที่คุณต้องเก็บออมระยะยาวเพื่อการใช้จ่าย

กระปุกที่ 4 : กระปุกการศึกษา EDU (Education Jar) 10% คือ เงินที่คุณต้องเก็บออมเพื่อการศึกษา

กระปุกที่ 5 : กระปุกเงินใช้เล่น PLAY (Play Jar) 10% คือ เงินที่คุณต้องใช้เพื่อความสุขของตัวเอง

กระปุกที่ 6 : กระปุกแห่งการให้ GIVE (Give Jar) 5% คือ เงินที่คุณต้องเก็บไว้เพื่อการแบ่งปัน

ดูวิธีการเก็บเงินแบบ 6 กระปุกเพิ่มเติมได้ที่ bit.ly/2RaHlmY

เรื่องที่ 3 : เริ่มลงทุนจากเล็กไปใหญ่ น้อยไปมาก

คนส่วนใหญ่หวังจะลงทุนด้วยเงินเพียงเล็กน้อยแต่ได้ผลตอบแทนมากกว่าที่ลงทุนหลายเท่า  หากตั้งใจที่จะร่ำรวยแล้วต้องเริ่มต้นศึกษาการลงทุนที่ง่ายๆ ก่อน และลองลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำเพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์จริง และ ผลตอบแทนที่ได้รับ

เมื่อเข้าใจวิธีการและผลตอบแทนที่ได้รับแล้ว ก็เริ่มลงทุนมากขึ้นตามลำดับเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น

T.Harv Eker บอกไว้ว่า ถ้าลูกของคุณไม่สามารถถือไอศกรีมโคน 1 ลูกได้ ก็อย่าให้เค้าถือไอศกรีม 3 ลูกเด็ดขาด

การลงทุนก็เช่นกัน หากยังไม่สามารถบริหารเงินลงทุนก้อนเล็กได้ ให้เริ่มเรียนรู้ความเสี่ยงในแต่ละระดับให้เข้าใจก่อนและสร้างความชำนาญเพิ่มขึ้น

อย่าเพิ่งนำเงินที่มีอยู่ไปลงทุนทีเดียวหมดหรือหลงเชื่อว่าใครจะนำเงินของคุณไปสามารถเพิ่มมูลค่าให้มากมาย  เพราะมีตัวอย่างมากมายที่เกิดขึ้นในการใช้กลโกงการลงทุนซึ่งทำให้มีผู้เสียหายจำนวนมาก

กุญแจสำคัญคือ : อย่าโลภ และเริ่มลงทุนจากเล็กไปใหญ่

เรื่องที่ 4: เปลี่ยนวิธีคิดและทำให้เป็นแบบคนร่ำรวย

ถ้าคุณอยากเรียนเก่งคุณต้องรู้ว่าคนเรียนเก่ง “คิดและทำ” อย่างไร

ถ้าคุณอยากรวยคุณต้องรู้ว่าคนรวย “คิดและทำ” อย่างไร

T.Harv Eker ใช้เวลาหลายปีในการศึกษาอย่างจริงจังถึง “วิธีคิด” และ “วิธีทำ” ที่คนรวยใช้ชีวิตและสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวย และสิ่งที่ค้นพบคือ

คนรวย มีวิธีคิดไม่เหมือนคนจน
คนรวย มีวิธีทำไม่เหมือนคนจน

สิ่งที่จะเปลี่ยนผลลัพธ์เรื่องเงินได้อย่างรวดเร็ว คือ เปลี่ยนวิธีคิดทางการเงินก่อน
ถ้าอยากประสบความสำเร็จด้านใดให้ลองหาความรู้หรือหาต้นแบบวิธีคิดทางการเงินเพื่อศึกษาดูว่าคนเหล่านั้นประสบความสำเร็จได้อย่างไร

วิธีคิดทางการเงินแบบคนรวย  =  ความรวย(ประสบความสำเร็จ)

วิธีคิดทางการเงินแบบคนจน  =  ความจน(ยังไม่ประสบความสำเร็จ)

ใช้เวลาสักพักลองทบทวน “ผลลัพธ์ทางการเงิน” ที่คุณมีในปัจจุบันว่าผลลัพธ์ที่คุณมีอยู่นั้นเป็นที่น่าพอใจหรือยัง

ถ้าผลลัพธ์ทางการเงินนั้นยังไม่เป็นที่น่าพอใจ  นั่นอาจเป็นเพราะ “วิธีคิดทางการเงิน” ที่มีอยู่ไม่สนับสนุนให้คุณร่ำรวย

เปลี่ยน “คนอยากรวย” ให้กลายเป็น “คนรวย” ด้วยวิธีคิดใหม่

จนถึงตอนนี้ คุณคงรู้แล้วว่า “วิธีคิดทางการเงิน” นั้นสำคัญมากแค่ไหน ไม่เพียงแต่จะทำให้ชีวิตคุณมีความมั่นคงและมั่งคั่งเพิ่มมากขึ้น แต่ยังส่งผลดีไปถึงคนรอบข้างของคุณอีกด้วย  

เพียงเริ่มศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องเงิน การเก็บเงิน การลงทุน และที่สำคัญที่สุด คือ วิธีคิดทางการเงิน  คุณก็ได้เริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางแห่งอิสรภาพทางการเงินได้อย่างแน่นอน

ปล. หากคุณกำลังมองหาการตั้งเป้าหมายทางการเงินอย่างเป็นระบบพร้อมเรียนรู้เทคนิคการสร้างความสำเร็จทางชีวิตและการเงิน สัมมนา Millionaire Mind Intensive คือคำตอบของคุณ อัดแน่นด้วยความรู้ ประสบการณ์ และเคล็ดลับตลอด 3 วันที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตและการเงินของคุณไปตลอดกาล

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

เผย 7 กลยุทธ์สร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในยุควิกฤตเศรษฐกิจ

เผย 7 กลยุทธ์สร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในยุควิกฤตเศรษฐกิจ

เผย 7 กลยุทธ์สร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในยุควิกฤตเศรษฐกิจ

13 มกราคม 2563 | เขียนโดย Pan Pho Team.

เมื่อการทำธุรกิจไม่เคยสร้างผลกำไรอย่างที่คุณตั้งใจไว้ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ

การทำธุรกิจเป็นเรื่องที่คนหลายคนนั้นต่างเบือนหน้าหนี เพราะด้วยความยุ่งยาก ไหนจะหาเงิน ลดค่าใช้จ่าย หาสินค้ามาขาย หรือแม้กระทั่งจัดการการทำงานของคนในองค์กร ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น

ซึ่งนั่นเองทำให้หลายต่อหลายบริษัทนั้นพยายามที่จะลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกิจให้น้อยลงเพื่อทำให้ธุรกิจมีกำไร แต่ถึงอย่างนั้น มันก็อาจจะเป็นสิ่งที่กลับมาทำร้ายธุรกิจของคุณอยู่ก็เป็นได้

คุณเคยสังเกตตัวเองไหมว่าส่วนมากคุณมักจะเสียเวลาทั้งหมดไปกับความกังวลในเรื่องของค่าใช้จ่าย ไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้างพนักงาน ค่านู้นค่านี้เต็มไปหมด รวมถึงหนี้สินต่างๆ ที่กู้ยืมมาลงทุน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณไม่มีเวลาคิดหาวิธีการสร้างรายรับและผลกำไร

ดังนั้น หากคุณอยากให้ธุรกิจของคุณเติบโตขึ้นเป็น 100 เท่า 1,000 เท่า คุณต้องปรับกลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้า เพ่งความสนใจไปที่การสร้างผลกำไรและทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ เพราะถ้าหากคุณมัวแต่ลดค่าใช้จ่ายของธุรกิจคุณ คุณจะพบว่าคุณกำลังทำการแช่แข็งธุรกิจของคุณไม่ให้โตอย่างที่คุณตั้งใจไว้

ซึ่งในบทความนี้ เราจะมาสรุป 7 กลยุทธ์ทางธุรกิจที่จะช่วยทำให้ธุรกิจของเราเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และสร้างกระแสเงินสดได้อย่างเป็นระบบ

7 กลยุทธ์สร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

1. ริเริ่มความคิดใหม่ไม่เหมือนใคร

หากเปรียบธุรกิจเป็นต้นไม้ การสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จก็เหมือนผลลัพธ์ของการขยันรดน้ำพรวนดิน แต่ต้นไม้จะเติบโตได้ คุณต้องเริ่มจากการเพาะเมล็ดก่อน ซึ่งเมล็ดพันธุ์นั้นคือ Idea หรือ ความคิด วิธีการที่คุณจะสร้างไอเดียใหม่ ๆ ได้

อาจเริ่มจากการมองสิ่งรอบตัวหรือสิ่งที่คนรอบข้างให้ความสนใจ พูดคุยหรือแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนร่วมงาน สิ่งที่มีแนวโน้มว่าในอนาคตจะเป็นที่ต้องการของตลาด หรือแม้กระทั่งการนำไอเดียที่มีอยู่แล้วมาต่อยอด พัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

ยกตัวอย่าง Brian Chesky และ Joe Gebbia เกิดไอเดียการหาเงินในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจของอเมริกาปี 2008 โดยการเอาห้องของตัวเองมาปล่อยเช่าราคาถูกให้กับคนแปลกหน้าและกลายเป็น Airbnb ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ช่วยให้ผู้ประกอบการทำเงินได้หลายบาทเลยทีเดียว

2. หาเหตุผลในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

เมื่อคุณได้ไอเดียแล้วว่าอยากจะทำอะไร คุณต้องคิดต่อว่าจะทำธุรกิจนี้ไปเพื่ออะไร? เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองหรือเพื่อช่วยเหลือคนอื่นแก้ไขปัญหา เหมือนอย่างที่ Katherine Krug เจ้าของธุรกิจ BetterBack เริ่มไอเดียธุรกิจจากอาการปวดหลังของเธอเมื่อต้องนั่งทำงานนาน ๆ

นอกจากนี้เธอยังคิดว่าธุรกิจ BetterBack สามารถสร้างเม็ดเงินให้กับเธอแน่ๆ เพราะยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องทนทรมานกับอาการปวดหลังเช่นเธอ ธุรกิจ BetterBack ของเธอจึงประสบความสำเร็จและกลายเป็นธุรกิจเงินล้านในที่สุด

3. ตั้งใจผลิตสินค้าให้ตรงตามมาตรฐาน

หลังจากคุณได้ทั้งไอเดียและเหตุผลในการทำธุรกิจแล้ว ‘Product’ หรือตัวสินค้า เป็นสิ่งที่คุณต้องเริ่มมองว่าจะให้ออกมาเป็นอย่างไร เช่น ลักษณะรูปร่าง โดยคิดถึงการออกแบบรูปลักษณ์ที่สวยงาม เพราะรูปลักษณ์ก่อให้เกิดปฏิกิริยาการตอบสนองแบบฉับพลัน

ส่งผลให้ลูกค้าตัดสินใจว่าสินค้านี้ดีหรือไม่ดี  ปลอดภัยหรือไม่  สวยหรือไม่สวย  ชอบหรือไม่ชอบ นอกจากนี้คุณจำเป็นต้องใส่ใจในทุกรายละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อให้สินค้าถูกผลิตออกมาได้ตรงตามมาตรฐานที่วางไว้

4. การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

เมื่อธุรกิจของคุณเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ขั้นตอนต่อไปคือคิดวิธีการว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าของคุณเข้าถึงตัวลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมายของคุณ โดยคุณต้องรู้ว่าจุดแข็งและจุดอ่อนของสินค้าคุณคืออะไร

ยกตัวอย่าง เช่น จุดแข็งของสินค้าคุณ คือ เป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงมาก ใช้วัสดุอย่างดี จึงกลายเป็นข้อเสียเปรียบในด้านราคาที่แพงกว่าท้องตลาด เพราะกระบวนการผลิตที่ยากและทำให้ส่งผลต่อราคาสินค้านั่นเอง แล้วจะทำอย่างไรให้ลูกค้าซื้อสินค้าของคุณแทนเจ้าอื่น นั่นคือการยื่นข้อเสนอดีๆ ให้ลูกค้า

5. ยื่นข้อเสนอจูงใจลูกค้า

การจะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อของคุณแทนเจ้าอื่น มาจากการยื่นข้อเสนอเพื่อจูงใจลูกค้า ไม่อย่างนั้นการสร้างธุรกิจของคุณจะเปล่าประโยชน์ ถ้าไม่สามารถขายสินค้าได้

ดังนั้นเมื่อคุณมีทุกอย่างพร้อมแล้ว  มาถึงขั้นตอนการขาย คุณต้องทำข้อเสนอการขายให้แก่ลูกค้า และในฐานะที่คุณเองก็เคยเป็นผู้บริโภคสินค้าอื่นมาก่อน

คงเข้าใจดีว่าเรื่องของ ‘ราคา’ เป็นเรื่องอ่อนไหวในการซื้อ-ขาย ดังนั้นเมื่อคุณมีการเสนอการขายควรใส่โปรโมชันเป็นทางเลือกแยกเป็นข้อๆ อย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายและตรงกับความต้องการที่สุด

รวมถึงการทำการตลาดที่ต้องเข้าถึงลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของคุณ เช่น โฆษณา Workshop และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้ลูกค้าเกิดแรงจูงใจและสนใจตัวสินค้าและซื้อสินค้าของคุณ

6. ปิดการขายกับลูกค้าให้สำเร็จ

ขั้นตอนของการปิดการขาย เรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจก็ว่าได้ เพราะเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะชักชวนให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือร่วมทำธุรกิจกับคุณ แต่จะปิดการขายได้ต่อเมื่อลูกค้าเกิดความสบายใจและไว้วางใจในการใช้สินค้า

ตัวอย่างเทคนิคการปิดการขายที่เป็นที่นิยม คือ การใช้วาทศิลป์ในการขาย พูดถึงประโยชน์ของตัวสินค้า ความจำเป็นและความสำคัญให้เชื่อมโยงกับตัวลูกค้า ผลตอบแทนที่เขาจะได้รับจากการร่วมธุรกิจหรือซื้อสินค้าของคุณ

7. ติดตามผลหลังการขายเพื่อประเมินความพึงพอใจ

การปิดการขายบางอย่างอาจใช้เวลามากกว่าปกติ หรือใช้เวลาหลายปีหลังจากการขาย ซึ่งต้องอาศัยการติดตามการขายเข้ามาช่วยกระตุ้นด้วย หรือถ้าคุณปิดการขายได้สำเร็จ

การติดตามผลหลังการขายเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่คุณต้องทำ อาจจะเป็นการโทรศัพท์หาลูกค้าเพื่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ ว่าลูกค้ามีความพึงพอใจในสินค้าของคุณมากน้อยแค่ไหน เพื่อนำไปพัฒนาหรือปรับปรุงตัวสินค้าให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสในการสร้างสัมพันธ์อันดี เพื่อเสริมสร้างความพึงพอใจและสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าว่าธุรกิจของคุณจะให้การดูแลเอาใจใส่ลูกค้าเป็นอย่างดี

 

การสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จไม่เคยเกิดขึ้นจากปาฏิหาริย์ แต่จะเกิดขึ้นแน่ๆ จากความพยายามของคุณ หากคุณลองปรับธุรกิจตาม 7 กลยุทธ์ของเราแล้ว การสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าที่คุณคิด และสามารถดึงดูดลูกค้าให้สนใจซื้อสินค้ากับคุณจนขยายกลายเป็นธุรกิจที่เติบโตขึ้นเป็น 100 เท่า 1,000 เท่า

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

Remarketing อาวุธลับสำหรับธุรกิจออนไลน์

Remarketing อาวุธลับสำหรับธุรกิจออนไลน์

Remarketing อาวุธลับสำหรับธุรกิจออนไลน์

6 มกราคม 2563 | เขียนโดย Pan Pho Team.

รวมเรื่องที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการทำ Remarketing บนโลกของการตลาดออนไลน์ ที่จะช่วยทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถลดค่าใช้จ่าย เพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

การใช้ Remarketing เป็นอาวุธลับของนักการตลาดออนไลน์ในการที่จะช่วยให้การยิงโฆษณาลงโซเชียลมีเดียไม่เปล่าประโยชน์อีกต่อไป

คุณทราบไหมว่ากว่า 96% ของคนที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณและ 70% ของคนที่เห็นโฆษณาบน Facebook ไม่ทำอะไรนอกจากกด Like กด Share  หรือเพียงแค่คลิกเข้ามาดูเฉยๆเท่านั้น และมีเพียงแค่ 0.05% ของจำนวนคนเหล่านั้น ที่ตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณ ช่างเป็นตัวเลขที่ทั้งน่าตกใจและน่ากลัวสำหรับเจ้าของธุรกิจอย่างเราๆ ที่มีงบประมาณในการยิงโฆษณาจำกัด

.

เพราะปัจจุบันหากคุณลองคำนวณเล่นๆ ดูว่าคุณเสียค่าโฆษณาออนไลน์ไปเป็นจำนวนเท่าไหร่ต่อเดือน และเทียบกับผลลัพธ์ของการปิดการขายและเงินที่ได้ เรียกได้ว่าแทบจะลมจับกันเลยทีเดียว

.

และในปัจจุบันที่ค่าโฆษณาบน Platform ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook Youtube Google ฯลฯ นั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นั่นจึงทำให้การทำโฆษณาและการเลือกกลุ่มเป้าหมายนั้นจำเป็นที่จะต้องมีวิธีคิดและวิธีการบริหารจัดการงบอย่างมีชั้นเชิงมากขึ้น

.

ดังนั้นเครื่องมืออะไรหล่ะที่จะทำให้เจ้าของธุรกิจอย่างเราๆ นั้นสามารถยิงโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และใช้เงินค่าโฆษณาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดหล่ะ แถมยังไม่ต้องกังวลว่ากลุ่มเป้าหมายจะตรงต่อสินค้าของคุณหรือไม่!!

.

ในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ ‘Remarketing’ เครื่องมือและกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ที่เรียกได้ว่าเป็นอาวุธลับของนักการตลาดออนไลน์และเจ้าของธุรกิจที่มีงบจำกัด

‘Remarketing’ คืออะไร

อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ‘Remarketing’ เป็นวิธีการที่คุณนำเสนอโฆษณาไปหากลุ่มคนที่สนใจในตัวสินค้าของคุณอยู่ก่อนแล้วเพื่อให้เขาเห็นสินค้าบ่อยขึ้นและเกิดความคล้อยตาม เช่น เมื่อมีคนเข้าเว็บไซต์ Alibaba, Taobao และ Lazada เพื่อเข้าชมสินค้าแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ เมื่อเขาออกจากหน้าเว็บไซต์ เขาจะยังคงเห็นสินค้าที่เข้าชมเหล่านั้นมาปรากฏในหน้า Feed บน Platform ต่างๆ ของเขา เหมือนจิตวิทยาว่าถ้าเห็นอะไรซ้ำๆบ่อยๆ จะมีแนวโน้มให้ความสนใจมากขึ้น และเขาจะหาข้อมูลจากการทำโฆษณาของคุณเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งที่เขาเห็นสินค้าเหล่านี้เกิดจากการทำ Remarketing นั่นเอง

.

ซึ่งเมื่อลองทำการทดสอบระหว่าง Campaign ที่ 1 ด้วยวิธีการยิงโฆษณาตรงๆ กับ Campaign ที่ 2 ด้วยวิธีการยิงโฆษณาตรงๆ เช่นกันเพื่อหากลุ่มเป้าหมายใหม่และทำ Remarketing ควบคู่ไปด้วย ทั้ง 2 Campaign ใช้งบประมาณที่เท่ากัน ผลปรากฏว่า Campaign ที่ 2 สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า Campaign ที่ 1 ถึง 200%

4 ประโยชน์ในการใช้ Remarketing เพื่อกระตุ้นยอดขายสำหรับธุรกิจออนไลน์

1. Remarketing จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการโฆษณาให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสซื้อได้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งเป็นเรื่องยากและท้าทายสำหรับการยิงโฆษณาเพียงครั้งเดียวแล้วสามารถขายได้เลย การยิงโฆษณาตรงๆ ไม่ก่อให้เกิดการขายเพราะโดยปกติแล้ว ผู้ใช้งานโฆษณาบน Facebook มักจะตั้งค่าโฆษณาของตัวเองให้กว้างเข้าไว้ โดยไม่รู้เลยว่า คนกลุ่มนี้มีความสนใจในสินค้าและบริการในระดับที่ต่างกัน

.

แต่สำหรับการทำ Remarketing นั้นแตกต่างออกไป เพราะจะทำให้คุณยิงโฆษณาไปหากลุ่มคนที่ให้ความสนใจในสินค้าจริงๆ โดยการเก็บข้อมูลจากพฤติกรรมที่พวกเขามีส่วนร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น การเยี่ยมชมเว็บไซต์ การมีส่วนร่วม หรือแม้แต่การรับชมวีดิโอ ซึ่งเมื่อเราสามารถเข้าใจถึงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสซื้อสินค้าของคุณ ก็จะสามารถทำงานกับคนเพียงกลุ่มเล็กๆได้อย่างมีคุณภาพและโฆษณาจะไม่ไปรบกวนกลุ่มคนที่ไม่ใช่เป้าหมายของคุณนั่นเอง

.

ถ้าจะให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้น การยิงโฆษณาบน Facebook นั้นเปรียบเสมือนกับการซื้อโฆษณาเป็นป้ายบิลบอร์ด ซึ่งเราอาจจะเลือกทำเลและกลุ่มคนได้ในระดับหนึ่ง แต่เราไม่สามารถแยกแยะออกมาได้เลยว่า ใครมีความสนใจในสินค้าเราจริงๆกันแน่ ในขณะที่การทำ Remarketing คือการกรองคนที่มีความสนใจในสินค้าของคุณในระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าพวกเขายังไม่เกิดการตัดสินใจ

ข้อคิด: สิ่งที่เจ้าของธุรกิจมักผิดพลาดกันคือพวกเขาไม่รู้ว่าจริงๆแล้วนั้น กลุ่มเป้าหมายที่พวกเขากำลังสื่อสารอยู่นั้นเป็นใครกันแน่ และยิ่งคุณยังไม่ชัดเจนว่าจริงๆแล้วนั้น ลูกค้าของคุณต้องการอะไรกันแน่ คุณจะไม่สามารถสร้าง Remarketing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมักจะจบลงด้วยการเสียเงินไปอย่างสูญเปล่า

2. ลูกค้าจะจดจำคุณได้ด้วยการสร้าง Branding ผ่าน Remarketing

การทำ Branding ที่มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพนั้น สามารถทำได้ด้วยการใช้ Remarketing แต่ในบางครั้ง บริษัทบางบริษัทก็ทำพลาดอย่างมหันต์และทำให้บริษัทนั้นถูกจดจำไปในเชิงลบ

หากคุณเป็นผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตและชื่นชอบดูเนื้อหาต่างๆบน Youtube คุณจะสังเกตได้ว่า คุณสามารถจำสินค้า บริการจากแบรนด์ ที่มาคั้นรายการโปรดของคุณ ซึ่งนอกจากจะทำให้คุณหงุดหงิดแล้ว การทำ Remarketing แบบส่งเดชแบบนั้น อาจจะทำให้เปลืองค่าใช้จ่ายโดยที่ไม่จำเป็น

จากสถิติการทำโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆนั้น ทำให้เราค้นพบสิ่งที่น่าตกใจก็คือ จริงๆแล้วนั้น หากเราทำ Remarketing ได้อย่างมีหลักการและทำตามกฎของการทำ Customer Journey ได้อย่างถูกต้องแล้ว การทำ Branding ด้วยวิธีการ Remarketing คือทางลัดที่จะทำให้แบรนด์ สินค้า หรือบริการเป็นที่น่าจดจำได้อย่างรวดเร็ว

ข้อคิด: Peng Joon นักการตลาดออนไลน์แถวหน้าของ Asia ได้ให้เคล็ดลับกับเราว่า “จริงๆแล้วคนไม่ได้เกลียดการถูกขายของหรอก เพียงแค่ว่า พวกเขาเกลียดโฆษณาที่ทำมาแบบลวกๆ และไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความสนใจของพวกเขานั่นเอง” ดังนั้น สำหรับการซื้อโฆษณาครั้งถัดไปของคุณ อย่าลืมที่จะตรวจสอบสื่อ วีดิโอ รูปภาพ และวิธีการเขียนก่อนที่จะกดยืนยัน!!

3. Remarketing ช่วยทำให้เจ้าของธุรกิจที่มีหลายช่องทางการขายและสื่อต่างๆ สามารถเชื่อมต่อข้ามเครื่องมือและช่องทาง

ลองถามตัวคุณเองซิว่าครั้งสุดท้ายที่คุณล็อคเอ้าท์ออกจาก Facebook ของคุณคือเมื่อไหร่? และมีโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ของคุณกี่เครื่องบ้างที่ล็อคอินต์เป็นชื่อของคุณ? ซึ่งโดยทั่วไปนั้น หากคุณยิงโฆษณาแบบปกติ กลุ่มเป้าหมายของคุณจะมีโอกาสเห็นโฆษณาของคุณเพียงแค่ครั้งเดียว และมีโอกาสน้อยมากที่จะเห็นครั้งที่สอง ซึ่งนั่นจะทำให้คุณพลาดโอกาสการขายไปอย่างน่าเสียดาย

.
ดังนั้น Remarketing จึงเข้ามาแก้ปัญหาในส่วนนี้ด้วยการล็อคเป้ากลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสซื้อสินค้าของเรา และทำการส่งโฆษณาไปหากลุ่มเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ซึ่งไม่ว่าพวกเขาจะล็อคอินต์เข้าเว็บบนคอมพิวเตอร์หรือแอพลิเคชั่นบนมือถือของเขา โฆษณาของเราก็จะตามไปหาเขาอย่างไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าเป็น “Haunted Marketing (การตลาดแบบหลอกหลอน)” เลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่ากลุ่มเป้าหมายจะไปที่ไหน (โฆษณาของ)เราก็จะตามไปหาเขาทุกๆที่

.

ข้อคิด: บางครั้ง พฤติกรรมของคนที่ซื้อสินค้าออนไลน์นั้นแตกต่างกันออกไปตามประเภทสินค้าและแพลตฟอร์ม ยกตัวอย่างเช่น สินค้าประเภทแฟชั่น ที่มักจะเกิดความสนใจและการหาข้อมูล (Consideration) ระหว่างการใช้งานคอมพิวเตอร์ Desktop แต่ตัดสินใจซื้อและชำระเงินบนโทรศัพท์ Mobile ซึ่งแตกต่างจากสินค้าประเภท IT และ Sport Wear อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น เราจะต้องเข้าใจและศึกษา Customer Journey ของเราให้ดี

4. ประหยัดค่าใช้จ่าย

โดยปกติแล้วนั้น เรามักจะใช้เงินค่าโฆษณาไปเป็นจำนวนมากกับการหาลูกค้าใหม่อยู่เรื่อยๆ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่มักจะได้กำไรน้อยมากจากการขายสินค้าของตัวเอง ในขณะเดียวกันนั้น หากเราใช้กลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจในสินค้าของเราอยู่แล้วนั้น งบโฆษณานั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำมาก โดยสามารถประหยัดได้มากถึง 40%-80% เมื่อเทียบกับการยิงโฆษณาแบบทั่วๆไป 

.
นอกไปกว่านั้น การทำ Remarketing สามารถช่วยทำให้เกิดการซื้อซ้ำ (Repurchase) หรือการทำให้ลูกค้าที่เคยซื้อของเราอยู่แล้ว สามารถกลับมาซื้อสินค้าของเราซ้ำได้อีกเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องเสียเงินมากๆไปกับการหาลูกค้าใหม่ที่มียอดการใช้จ่ายที่น้อยกว่า เมื่อเทียบกับลูกค้าที่รู้จักหรือเคยซื้อสินค้าเราไปแล้ว

.

ดังนั้น หากคุณกำลังตกที่นั่งลำบาก การทำ Remarketing อาจจะเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะช่วยทำให้คุณลดต้นทุนการทำโฆษณาและเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมีระบบและวัดผลได้ โดยที่แทบจะไม่ต้องมีความรู้ด้านการตลาดหรือต้องใช้งบสิ้นเปลืองเพื่อเพิ่มยอดขาย

ข้อคิด: บนโลกของการทำการตลาดออนไลน์ ยิ่งคุณคิดได้มากเท่าไหร่ มีไอเดียมากเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาจะถูกลงตามไอเดียที่คุณมี และรายได้ของคุณจะพุ่งทะยานหากคุณพัฒนาระบบการตลาดอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

Remarketing คือเครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่ถือได้ว่าเป็นเหมือนเครื่องมือทำมาหากินของเจ้าของธุรกิจที่ทำการตลาดออนไลน์ ด้วยประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา ทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของเราได้ สามารถทำโฆษณาได้อย่างต่อเนื่อง เป็นระบบ และมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำ จึงเหมาะจะใช้เป็นอาวุธในการแก้ไขปัญหาการยิงโฆษณาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถช่วยประหยัดงบประมาณและเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจของคุณได้ไม่รู้จบ

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

สูตรความสำเร็จที่โรงเรียนไม่มีสอน

สูตรความสำเร็จที่โรงเรียนไม่มีสอน

สูตรความสำเร็จที่โรงเรียนไม่มีสอน

 6 พฤศจิกายน 2562 | เขียนโดย Pan Pho Team.

ผมไม่สามารถมีธุรกิจได้หรอก เพราะผมไม่มีเงินเหมือนพวกเศรษฐีพวกนั้น” นี่คงเป็นเหตุผลของใครหลายๆ คน ที่กำลังคิดที่จะเริ่มธุรกิจหรืออยากที่จะทำอะไรบางอย่างที่แตกต่าง บ่อยครั้งที่คำพูดเหล่านี้เอง กำลังทำลายไอเดียดีๆ ของคนหลายๆ คนให้เกิดขึ้นมา ในขณะที่มีคนเพียงส่วนน้อยเข้าใจอย่างชัดเจนว่า จริงๆ แล้ว “เงิน” อาจจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจ แต่สิ่งที่จะวัดว่าธุรกิจหรือเส้นทางที่คุณกำลังเลือกเดินนั้น มีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จ อยู่ที่ วิธีคิด” กับ การลงมือทำ”

หากคุณมองย้อนกลับไป ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีไม่ก้าวหน้าเหมือนปัจจุบันนี้ ช่องว่างทางความรู้และทรัพยากร สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อคนที่ร่ำรวยส่วนใหญ่ มีความรู้และวิธีคิดที่แตกต่างจากคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเรามักจะเรียกยุคนั้นว่า ยุคอุตสาหกรรมหนัก แต่ถึงกระนั้นเอง ในปัจจุบัน คนที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของโลกเคยเป็นคน “ชนชั้นกลาง” ในยุคอุตสาหกรรมหนักมาก่อนยกตัวอย่างเช่น Richard Branson ผู้ก่อตั้ง Virgin Group, Steve Jobs ผู้สร้างนวัตกรรม  ที่พลิกโลกอย่าง Iphone และ Apple , Jack Ma ผู้ก่อตั้ง E-commerce ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียอย่าง Alibaba ซึ่งหากเทียบกับปัจจุบันนั้น คนเหล่านี้มีโอกาสที่จะได้เข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรได้น้อยกว่าคนปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง แล้วอะไรล่ะ ที่คนเหล่านี้มีเหมือนกัน.. คำตอบนั้น เราได้พยายามศึกษา ค้นคว้า จากคนประสบความสำเร็จทั่วโลก ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้เป็นวิธีคิดง่ายๆ ที่เรียกว่า “สูตรแห่งความสำเร็จ Success Formular” ซึ่งใช้หลักการดังต่อไปนี้

T -> F -> A -> R

ความคิด นำไปสู่ ความรู้สึก | ความรู้สึก นำไปสู่ การลงมือทำ | การลงมือทำ นำไปสู่ ผลลัพธ์

ความคิด

ความคิดเกิดมาจากไหน? หากสามารถพูดให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ความคิดเปรียบเสมือนกับพิมพ์เขียวในการสร้างบ้าน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่คุณจะต้องใช้ในการสร้างบ้านของคุณว่าจะต้องใช้วัสดุเท่าไร ต้องมีขั้นตอนการสร้างอย่างไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง และเมื่อใด หากคุณสามารถสร้างบ้านหลังแรกได้สำเร็จ บ้านหลังถัดๆ ไปของคุณก็จะสำเร็จเหมือนกัน ซึ่งนั่นก็เหมือนกับความคิดของคุณ เมื่อคุณมีความคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น ความรัก การเงิน การลงทุน ที่ประสบความสำเร็จ คุณก็จะสามารถสร้างความสำเร็จแบบนั้นได้อย่างไม่รู้จบ ในทางกลับกัน หากคุณมีจุดใดจุดหนึ่งที่ผิดเพี้ยนในพิมพ์เขียวทางความคิดของคุณ การสร้างความสำเร็จก็จะมีจุดผิดพลาดในทุกๆ ความสำเร็จของคุณ

 

ความรู้สึก

ความรู้สึกเปรียบเสมือนเสาเข็มในการสร้างความสำเร็จของคุณ หากคุณสามารถควบคุม และสร้างความรู้สึกที่ผูกมัดความคิดคุณได้ คุณจะสามารถมีความสุขกับการคิด และใช้ชีวิตบนความคิดนั้นได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งความรู้สึกนั้น คุณสามารถสร้างได้จากเข้าถึงจุดประสงค์ของความคิดคุณ และความหมายที่คุณจำกัดความคิดคุณ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณนึกถึงมุมมองของการลงทุน คนหลายคนมักผูกติดความกลัวไปกับความคิดในการลงทุน แต่ในเวลาเดียวกัน คุณอาจจะผูกติดความรู้สึกดีไปกับการทำธุรกิจด้วยก็ได้ ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้คุณมอง รู้สึก และลงมือทำได้อย่างมีจุดมุ่งหมาย

ผลลัพธ์

ความลับแห่งการสร้างผลลัพธ์ คือการเข้าใจจริงๆ ว่าคุณต้องการที่จะมี เป็น หรือ สร้างอะไร เพื่อใคร ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่คุณเข้าใจและกระจ่างว่าการสร้างผลลัพธ์ของคุณ คือ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง  ที่คุณสนใจ  คุณก็จะสามารถเติมเต็มว่าการเดินทางสู่ความสำเร็จนั่นคืออะไร และทำไปเพื่ออะไร

เมื่อนำมาประกอบกันคุณจะสามารถเห็นได้ว่า ความสำเร็จมันมีกระบวนการที่ค่อนข้างตายตัว แต่ทำไมล่ะ? คนส่วนใหญ่ไม่สามารถสร้างความสำเร็จที่ตัวเองต้องการได้ เหตุผลง่ายๆ ของพวกเขา คือ การมีความคิดและมุมมองที่ถูกต้อง ดังนั้นคำถามแรกที่คุณจะ ต้องถามตัวคุณอย่างสม่ำเสมอ คือ “ทำอย่างไร ผมถึงจะมีความคิดที่ถูกต้องได้”

มันไม่เกี่ยวกับว่าคุณมีเงินเท่าไหร่ แต่มันเกี่ยวกับว่า คุณมีความรู้สึกเติมเต็มหรือไม่?”

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตและการเงินของผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

เอาชนะวิกฤตเศรษฐกิจและเพิ่มยอดขาย x2 ฉบับเจ้าของธุรกิจ

เอาชนะวิกฤตเศรษฐกิจและเพิ่มยอดขาย x2 ฉบับเจ้าของธุรกิจ

เอาชนะวิกฤตเศรษฐกิจและเพิ่มยอดขาย x2 ฉบับเจ้าของธุรกิจ

21 ตุลาคม 2562 | เขียนโดย Pan Pho Team.

เปิดมุมมองการเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสด้วยหลักการสร้างคุณค่าในธุรกิจและวิธีคิดแบบเหนือชั้น

หากคุณสังเกตนวัตกรรมที่อยู่รอบๆตัวของคุณ จะพบว่าถูกคิดค้นมาในช่วงศตวรรษที่ 20 กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ต เครื่องบิน กล้องถ่ายรูปดิจิตอล โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ 

 

ซึ่งนั่นเองทำให้เราปฎิเสธไม่ได้ว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่เรียกกันว่า “ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง (Era of Changes)” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทุกอย่างในโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและน่าเหลือเชื่อ ต้องขอบคุณที่การเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วนี้เป็นเหมือนสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางความคิดของมนุษย์ชาติ

 

ในทางกลับกัน การเปลี่ยนแปลงที่น่าเหลือเชื่อนี้ ก็นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางวัฎจักรเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วเช่นกัน

 

หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ วิกฤตเศรษฐกิจที่เก่าแก่ที่สุดนั้นอาจต้องย้อนกลับไปในยุคอารยธรรมโรมัน หรือประมาณ ค.ศ. 33 ที่หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนั่นเป็นดั่งจุดเริ่มต้นของวัฎจักรเศรษฐกิจที่มีขึ้น และมีลงอยู่เรื่อยๆ จนสามารถพูดได้ว่าอัตราการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจนั้น จะเกิดขึ้นทุกๆ 500 ปี..

ซึ่งตัวเลขนี้ อาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป..

เกิดอะไรขึ้นกับเงินในโลกใบนี้

จนกระทั่งในศตวรรษที่ 20 ตลอด 100 ปีที่ผ่านมา มีวิกฤตเศรษฐกิจมากกว่า 51 ครั้ง เกิดขึ้นทั่วโลก หรือหากคิดง่ายๆนั่นก็คือ วิกฤตเศรษฐกิจนั้นเกิดขึ้นทุกๆ 2 ปีนั่นเอง

 

แน่นอนว่าวิกฤตเหล่านี้ สร้างผลกระทบให้กับชีวิตคนนับล้านทั่วโลกให้สามารถพลิกตัวเองจากคนที่มั่งคั่งให้กลายเป็นคนถังแตกได้ภายในชั่วข้ามคืน

 

แม้ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีนักธุรกิจต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นและสร้างความมั่งคั่งอย่างมหาศาลอย่างที่โลกไม่เคยพบเจอมาก่อน ไอเดียมากมายถูกนำมาทดสอบขีดจำกัดของความเป็นไปได้ และเมื่อพวกเขาทำสำเร็จ ไอเดียเหล่านั้นกลับตอบแทนพวกเขาด้วยความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และเงินทอง

 

หากจะพูดกันอย่างเข้าใจได้ง่ายขึ้นก็คือ ในทุกๆวิกฤตนั้น ย่อมมีโอกาสเสมอ

จะพลิกวิกฤตต้องคิดไม่เหมือนคนอื่น

 

ไอน์สไตน์คือนักวิทยศาสตร์ ผู้เปลี่ยนแปลงหน้าตาวงการวิทยาศาสตร์โลกนั้น เคยได้พูดประโยคหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิธีคิดของคนว่า

 

“Insanity is doing the same thing over and over again, but expecting different results.”

(ความวิกลจริตคือการทำสิ่งเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา แต่คาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง)

ประโยคข้างต้นนั้น เป็นเหมือนกับเครื่องเตือนใจให้เราเป็นอย่างดีว่า หากคุณอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตามที่คุณกำลังคาดหวังผลลัพธ์ใหม่ๆ คุณจะต้องเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดหรือวิธีการของคุณใหม่ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ใหม่ๆ

 

เช่นเดียวกันกับชีวิตของเจ้าของธุรกิจ หากคุณกำลังต้องการผลลัพธ์ใหม่ๆ คุณต้องเลิกที่จะคาดหวังกับการกระทำแบบเก่าๆ แล้วหันมาลองสิ่งใหม่ 

 

และวิธีการเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่รวดเร็วที่สุดนั่นคือ “วิธีคิด”

 3 ขั้นตอนเปลี่ยนแปลงวิธีคิดเอาชนะเศรษฐกิจ

หากคุณกำลังเป็นหนึ่งในเจ้าของธุรกิจที่กำลังมองหาทางออกให้ธุรกิจของคุณรอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจและฟื้นตัวกลับมาได้ในระยะเวลาอันสั้น นี่คือ 3 ขั้นตอนง่ายๆ

 

1. จำไว้เสมอว่า คุณคือทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดในธุรกิจของคุณ

หลายคนมองว่า เมื่อธุรกิจเข้าที่แล้วพวกเขาจะสามารถจ้างคนอื่นๆมาดูแลธุรกิจของเขาได้ โดยหวังว่าเขาจะทำมันได้ดีกว่า ซึ่งนั่นอาจจะจริงในบางกรณี แต่ถ้าเราย้อนกลับมาดู การพลิกล็อคบนโลกธุรกิจนั้นส่วนใหญ่เกิดจากน้ำมือของผู้ก่อตั้งธุรกิจทั้งนั้น

 

และตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดเจนที่สุดคือกรณีการกลับมาของ Steve Jobs หลังจากถูกไล่ออกจาก Apple ในช่วงปีค.ศ. 1985 และกลับมาดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple ในช่วงปีค.ศ. 1997 โดยหลังจากที่เขากลับมา บริษัท Apple ก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งในปัจจุบัน บริษัท Apple มีอัตราการเติบโตที่สูงมากถึง 235 เท่านับตั้งแต่วันที่ Steve Jobs กลับมาที่ Apple เลยทีเดียว

 

2. เปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจของคุณ

หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SMEs คุณคงกังวลว่าบริษัทเล็กๆ ของคุณกับการทำธุรกิจในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจอาจขยับขยายไม่ได้มากนัก แต่ไม่ได้แปลว่าคุณจะหมดหวังและล้มเลิกธุรกิจที่คุณพยายามสร้างมาหลายสิบปี 

 

ในทางกลับกัน ช่วงเวลานี้อาจเป็นช่วงเวลาที่คุณเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของคุณไปในทิศทางใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการบุกตลาดต่างประเทศ การพัฒนาระบบงาน การสร้างทีม หรือแม้แต่กระทั่งการสานสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าที่คุณมี

 

สิ่งเหล่านี้คล้ายกับเงินที่คุณหยอดไปในกระปุกอนาคต และรอโอกาสเศรษฐกิจดีมาถึง คุณจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงธุรกิจของคุณได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

 

จำไว้เสมอว่า เศรษฐกิจนั้นมีลักษณะเฉพาะตัว (Pattern) ที่ค่อนข้างตายตัว เมื่อมีจุดสูงสุด ก็ต้องมีจุดตกต่ำ และเมื่อผ่านจุดตกต่ำไป ก็จะมีโอกาสอีกครั้งในการสร้างผลกำไรที่มากกว่าเดิม

 

3. กลับมาพัฒนาทีมงานของคุณ

Warren Buffet คือหนึ่งในนักธุรกิจและนักลงทุนที่ใครหลายๆคนนั้นต่างชื่นชมา โดยครั้งหนึ่งเขาได้พูดว่า

 

“The most important investment you can make is in yourself.” 

(การลงทุนที่สำคัญที่สุดที่คุณทำได้ คือ ตัวคุณเอง)

 

และหากคุณนำมาปรับใช้กับตัวเอง คุณจะพบว่าแม้วิกฤตเศรษฐกิจจะเลวร้ายแค่ไหน สิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญมากที่สุด คือ การลงทุนในตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณเริ่มลงทุนกับตัวเองด้วยการอ่านหนังสือทุกวัน วันละเล็กวันละน้อย หาความรู้เกี่ยวกับการตลาด การจัดการเงิน คุณจะค่อยๆ ซึมซับเทคนิควิธีที่จะช่วยให้คุณบริหารธุรกิจของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ง่ายขึ้น

 

ความลับแห่งความสำเร็จเหนือวิกฤตเศรษฐกิจนั้นไม่ใช่การที่คุณมีเครื่องมือที่ยอดเยี่ยม หรือมีระบบการตลาดที่เหนือชั้น แต่เป็นวิธีคิดและมุมมองของผู้นำองค์กรอย่างคุณต่างหากหล่ะที่จะเป็นเหมือนหางเสือที่จะขับเคลื่อนธุรกิจของคุณให้ออกจากมรสุมครั้งนี้ไปได้

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก