4 วิธีที่เจ้าของธุรกิจเอาชนะความกลัวทางการเงิน

4 วิธีที่เจ้าของธุรกิจเอาชนะความกลัวทางการเงิน

4 วิธีที่เจ้าของธุรกิจเอาชนะความกลัวทางการเงิน

3 กุมภาพันธ์ 2563 | เขียนโดย Pan Pho Team.

เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่มักต้องพบเจอกับ ความกลัว ที่เข้ามามีบทบาทในการทำธุรกิจ ซึ่งต้นเหตุนั้นมาจากสภาพทางการเงินของธุรกิจตัวเองที่ไม่แน่นอน แต่คุณรู้หรือไม่? ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปหากคุณเทคนิคและวิธีการที่ดี

ในทุกๆ 1 นาที บนโลกของเราจะเกิดเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงมากมาย ถ้าเจ้าของธุรกิจสังเกตรอบๆ ตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์บ้านเมือง เศรษฐกิจ และอื่นๆ ไม่แปลกที่เจ้าของธุรกิจจะรู้สึกหวาดกลัวกับการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเงิน

คุณเคยได้ยิน “หลักการพาเรโต” หรือ “กฎ 80% – 20%” บ้างไหม?

อธิบายง่ายๆ คือ เมื่อคุณคิดตั้งตัวเลขในความสำเร็จเป็น 100 % ในส่วนของ 20% เป็นการกระทำเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ ซึ่งผลลัพธ์นั้นก็คืออีก 80% นั่นเอง ซึ่งตัวเลข 20% คุณอาจมองว่าเป็นตัวเลขที่น้อย แต่ตัวเลขนี้เป็นส่วนสำคัญมาก

ยกตัวอย่างเช่น ในการทำธุรกิจที่จะได้ผลเติบโตถึง 100% หากคุณมีการจัดการกับความกลัวของคุณเพียง 20% คุณก็จะได้ผลลัพธ์อีก 80% ได้ไม่ยาก จนทำให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน

T.Harv Eker กล่าวว่าถ้าคุณต้องการที่จะเปลี่ยนโลก สิ่งแรกที่คุณจะต้องเข้าใจ คือ ตัวเอง คุณต้องเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเงิน ถ้าคุณไม่เข้าใจอารมณ์ของคุณ คุณก็ไม่สามารถสร้างเงินล้านได้” 

ซึ่งในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงหลักการสร้างความสำเร็จและการเอาชนะความกลัวทางการเงินของเจ้าของธุรกิจด้วยวิธีคิดแบบใหม่

4 วิธีที่เจ้าของธุรกิจเอาชนะความกลัวทางการเงิน

วิธีที่ 1 เรียนรู้จากกฎแห่งการสร้างผลลัพธ์ (Law of Result Creation)

มนุษย์มีการแสดงออกทางอารมณ์มากมาย และความกลัวคือ 1 ในนั้นด้วย การที่เจ้าของธุรกิจจะสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ต้องเรียนรู้การควบคุมอารมณ์จากกฎแห่งการสร้างผลลัพธ์ (Law of Result Creation) เพื่อเข้าใจกลไกลในร่างกายของตนเอง

  • ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้จะเกิดขึ้นและประสบความสำเร็จได้ ย่อมเกิดจากก้าวแรกเสมอ ในด้านธุรกิจ หากเจ้าของธุรกิจอยากประสบความสำเร็จ ก็ต้องเริ่มจากก้าวแรกเช่นกัน และนั่นก็คือความคิด (Thought) หรือมุมมองต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของคุณ จนนำไปสู่การสร้างความรู้สึก

  • ความรู้สึก (Feeling) เมื่อเจ้าของธุรกิจมีความคิดและมีมุมมองต่อสิ่งที่เข้ามาในธุรกิจของคุณ สมองและจิตใต้สำนึกจะทำให้เจ้าของธุรกิจมีความรู้สึก เช่น รู้สึกตื่นเต้นในการทำธุรกิจกับคู่ค้า รู้สึกกังวลใจว่าจะขาดทุน รู้สึกเครียดเมื่อยอดขายไม่ได้เท่าที่หวัง รู้สึกมีความสุขเมื่อได้ผลกำไรทะลุเป้าหมาย เป็นต้น เมื่อมีความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นในหัวของคุณก็จะนำเจ้าของธุรกิจไปสู่การกระทำ

  • การกระทำ (Action) สิ่งที่เจ้าของธุรกิจลงมือทำหรือแสดงออกเมื่อมีความรู้สึก เช่น เจ้าของธุรกิจรู้สึกเครียดว่าจะสร้างยอดขายไม่ได้เท่าที่หวังก็เกิดการแสดงออกเป็นการร้องไห้ เมื่อเจ้าของธุรกิจรู้สึกดีใจที่ผลกำไรทะลุเป้าก็แสดงออกด้วยการเฉลิมฉลอง เป็นต้น และหลังจากที่เจ้าของธุรกิจได้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไปแล้วสิ่งที่ตามมาก็คือ ผลลัพธ์

  • ผลลัพธ์ (Result) คือ สิ่งที่เจ้าของธุรกิจจะได้รับหลังจากการลงมือทำหรือแสดงความรู้สึกออกไป ยกตัวอย่าง เมื่อเจ้าของธุรกิจรู้สึกดีใจที่ผลกำไรทะลุเป้าก็จะเฉลิมฉลอง เมื่อคุณเฉลิมฉลองเสร็จ คุณก็จะมีกำลังใจที่จะสร้างรายได้ต่อไป

.

ข้อคิด: เจ้าของธุรกิจจะเห็นได้ว่าผลลัพธ์และการกระทำล้วนมาจากอารมณ์และความคิดทั้งสิ้น อย่างที่ Tony Robbins กล่าวไว้ว่าคุณภาพของชีวิตเรา จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของอารมณ์ดังนั้น ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนอารมณ์ คุณก็ต้องเปลี่ยนที่มุมมอง ต้องแยกแยะให้ได้ระหว่าง ความกลัว และ อารมณ์ ออกจากกัน

.

เจ้าของธุรกิจ ควรนำกฎแห่งการสร้างผลลัพธ์มาปรับใช้เพื่อเอาชนะความกลัว ซึ่งข้อดีของความกลัวคือ ทำให้เจ้าของธุรกิจไม่กล้าทำอะไรเสี่ยงๆ เพื่อที่จะรักษาชีวิตของตัวเองไว้ แต่เมื่อความกลัวเข้ามาครอบงำมากเกินไปก็จะส่งผลเสียต่อเจ้าของธุรกิจเช่นกัน ยิ่งถ้าเป็นความกลัวเกี่ยวกับการเงินด้วยแล้วจะยิ่งทำให้เจ้าของธุรกิจได้รับผลกระทบมากสำหรับการทำธุรกิจ

 วิธีที่ 2 สำรวจมุมมองเกี่ยวกับการเงินในอดีตของตัวเอง

ตั้งแต่เด็กจนโต คงมีหลายต่อหลายครั้งที่เจ้าของธุรกิจจะได้ยินคนรอบข้าง หรือครอบครัว คอยพูดหรือฝังหัวเกี่ยวกับเรื่องการเงินตลอดว่า “เงินไม่ได้งอกจากต้นไม้” “คนรวยเป็นคนโลภ” “คนรวยมักเอาเปรียบคนอื่นอยู่เสมอหรือแม้กระทั่งเงินเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย

แต่จริงๆ แล้วถ้ามองให้ลึกลงไป คำสอนเหล่านี้อาจเป็นการขีดเส้นจำกัดความสามารถด้านการเงินในตัวคุณ รวมถึงคอยปิดกั้นโอกาสและมุมมองที่จะทำให้เจ้าของธุรกิจเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการเงินในทางที่ดีขึ้นด้วย 

.

ข้อคิด: มุมมองด้านการเงินเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของวิธีคิด ถ้าเจ้าของธุรกิจมีวิธีคิดที่ผิด ไม่ว่าเจ้าของธุรกิจจะทำอย่างไร พฤติกรรมการเงินของคุณก็จะผิด เช่นเดียวกัน ถ้าเจ้าของธุรกิจคิดว่า เงินทำให้คนโลภและทำให้คุณไม่ต้องการเงิน คุณก็จะไม่มีเงิน แต่จริงๆ แล้วเงินไม่ได้ทำให้คนใดหรือใครโลภไปกว่าเดิม แต่เงินอาจเป็นตัวสะท้อนพฤติกรรมที่แท้จริงของคนนั้นมากกว่า

ดังนั้น ก่อนที่เจ้าของธุรกิจจะเดินไปถึงอนาคต เจ้าของธุรกิจต้องกลับไปดูอดีตของตัวเองก่อนว่า มุมมองและวิธีคิดเกี่ยวกับการเงินของคุณในปัจจุบันของคุณ  แท้จริงแล้วมาจากไหนของอดีต และหาทางแก้ไขรวมถึงเปลี่ยนวิธีคิดเสีย เมื่อคุณปลดล็อกความคิดเหล่านี้ได้ คุณก็จะสร้างมุมมองใหม่เกี่ยวกับการเงิน มีเงินเก็บ และเข้าใกล้อิสรภาพทางการเงินมากขึ้น

วิธีที่ 3 กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน

เมื่อถามถึงเป้าหมายทางการเงิน เจ้าของธุรกิจมักมีความคิดว่าต้องการเก็บเงินไว้ใช้ตอนเกษียณ เพราะอยากมีชีวิตที่สุขสบาย จะได้ไม่ต้องทำธุรกิจไปจนแก่ แต่เมื่อถามว่าคุณต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะพอล่ะ? เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่มักจะตอบว่าสักล้านสองล้าน

.

คำว่า ‘สักล้านสองล้านในที่นี้ เป็นการประมาณการ คาดคะเนตัวเลขขึ้นมาแบบสุ่มๆ เจ้าของธุรกิจก็เก็บเงินโดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วเป้าหมายที่เขาต้องการเพื่อที่จะออกจากความกลัวนั้นคืออะไร และต้องมีเงินเก็บจริงๆ เท่าไหร่กันแน่ จึงไม่แปลกที่เจ้าของธุรกิจหลายคนจะมีความกลัวที่มาจากความไม่แน่นอน

เพราะเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่พยายามที่จะตั้งเป้าหมายของตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่มีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และ สิ่งที่ตามมา คือ เจ้าของธุรกิจไม่รู้ว่าเป้าหมายของตัวเองจะจบลงที่ใด จึงเป็นต้นเหตุทำให้เกิดความกลัว ซึ่งความกลัวแบบนี้ คือ ความกลัวที่เกิดมาจากการไม่รู้ว่าเป้าหมายตัวเองอยู่ตรงไหนนั่นเอง 

.

ข้อคิด: ความไม่แน่นอนมักสร้างความกลัวเสมอ เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าของธุรกิจต้องการเอาชนะความกลัวทางด้านการเงิน เจ้าของธุรกิจจะต้องสร้างความแน่นอนกับชีวิต ด้วยการวางแผนและกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน จริงๆ แล้วเจ้าของธุรกิจไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายให้ใหญ่โตก็ได้ แค่ไม่ลืมที่จะเดินตามเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งประสบความสำเร็จ แค่นั้นก็ทำให้เจ้าของธุรกิจลดความกลัวและมีอิสรภาพทางการเงินได้อย่างแน่นอน

วิธีที่ 4 เจาะลึกและเข้าใจบุคลิกภาพทางการเงินของตัวเอง

เจ้าของธุรกิจเคยสำรวจตัวเองไหมว่ามีวิธีการใช้เงินอย่างไร? เช่น คุณเป็นคนใช้เงินเก่งมาก ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า หรือ เป็นคนที่ไม่รู้จักการซื้อของเลย ได้เงินมาเท่าไหร่ก็เก็บเข้าธนาคารหมด หรือ จะปวดหัวทุกครั้งที่มีใครเปิดประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการเงินขึ้นมา หรือ ชอบนำเงินไปทำบุญทำทาน เป็นต้น

.

จากตัวอย่างข้างต้น สามารถนำมาจำแนกได้เป็นบุคลิกภาพทางการเงิน (Money Personality) 4 ประเภท ประกอบไปด้วย 

  • Spender คือ กลุ่มคนที่มีความสุขกับการใช้เงิน ใช้เงินเพื่อซื้อความสุขความสบาย หาเงินมาได้ก็มักจะใช้หมด 
  • Saver คือ กลุ่มคนที่มีความสุขเมื่อเห็นจำนวนเงินเก็บสะสมสูงขึ้นเรื่อยๆ จะรู้สึกร้อนรนถ้าต้องใช้เงินหรือจ่ายเงินเพื่อของไม่จำเป็น
  •  Avoider คือ กลุ่มคนที่ถ้าหากใครพูดถึงเรื่องเงินคนเหล่านี้จะเดินหนีไปทันที เพราะมองว่าเรื่องเงินเป็นเรื่องที่น่าปวดหัว 
  • Monk คือ กลุ่มคนที่มองว่าเงินเป็นของนอกกาย เมื่อมีเงินเยอะก็จะแบ่งให้กับคนอื่นชอบทำบุญมาก 

.

ข้อคิด: ทฤษฎีของการจัดหมวดหมู่คนทั้ง 4 ประเภทนี้ หรือที่เรียกว่าบุคลิกภาพทางการเงิน” (Money Personality) เป็นการบอกว่าแต่ละคนมีมุมมองทางการเงินอย่างไร ซึ่งแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป

เพราะฉะนั้นการที่คุณจะออกจากความกลัวทางการเงินได้คุณต้องรู้และเข้าใจว่าพฤติกรรมทางการเงินของคุณเป็นแบบไหน พยายามเข้าใจวิธีการใช้เงินของตัวเอง และปรับสมดุลพฤติกรรมทางการเงินของคุณให้ได้ เพื่อให้คุณหลุดพ้นจากความกลัวทางการเงินได้ในที่สุด

สุดท้ายนี้ ให้เจ้าของธุรกิจนึกไว้เสมอว่า การมีอิสรภาพทางการเงิน คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินเยอะ แต่การมีชีวิตที่คุณเลือกได้ สามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่มีข้อจำกัดของความกลัวเข้ามามีบทบาทในชีวิตคุณ นี่คือความสุขที่แท้จริง

.

หากคุณอยากกำหนดชะตาชีวิตทางการเงินโดยปราศจากความกลัวด้วยตัวคุณเอง พร้อมเรียนรู้เทคนิคการสร้างความสำเร็จทางชีวิตและการเงิน เราขอแนะนำ สัมมนา Millionaire Mind Intensive สัมมนาที่อัดแน่นด้วยความรู้ ประสบการณ์ และเคล็ดลับตลอด 3 วัน ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตและการเงินของคุณไปตลอดกาล >>สนใจกด Banner ด้านล่างได้เลย!

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

เจ้าของธุรกิจควรใช้ Social Media Platfrom อันไหนให้เหมาะกับธุรกิจมากที่สุด

เจ้าของธุรกิจควรใช้ Social Media Platfrom อันไหนให้เหมาะกับธุรกิจมากที่สุด

เจ้าของธุรกิจควรใช้ Social Media Platfrom อันไหนให้เหมาะกับธุรกิจมากที่สุด

27 มกราคม 2563 | เขียนโดย Pan Pho Team.

เมื่ออำนาจของ Social Media อยู่ในมือเจ้าของธุรกิจ การเลือกทำ Digital Marketing ให้เหมาะสมกับธุรกิจก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคนี้  เราใช้ Social Media ในค้นหาและสร้างข้อมูล ความบันเทิงต่างๆ และจากการสำรวจพฤติกรรมการใช้ Social Media ของคนไทย Global Digital 2019 : รายงานสถานการณ์การใช้ งานดิจิทัล และอินเทอร์เน็ต โดย We Are Social และ Hootsuite

พบว่า มีคนไทยกว่า 51 ล้านคน ใช้งาน Social Media เป็นประจำ และใช้เวลาเฉลี่ยกับ Social Media นานกว่า 3 ชั่วโมง 11 นาทีต่อวัน นอกจากนี้ ยังพบว่า ทั้ง  Facebook, YouTube และ LINE ต่างติดอยู่ใน Top 10 Social Network ที่คนไทยนิยมใช้เสียด้วย

.

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าของธุรกิจหลายคนจะหันมาทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้หลายล้านคนจากการทำการตลาดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่เนื่องจากสื่อ Social Media มีหลากหลายช่องทางมาก

จึงทำให้เจ้าของธุรกิจหลายคนลังเลว่า จริงๆ แล้วธุรกิจของเขาควรทำการตลาดในช่องทางไหนถึงจะตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้าของเขามากที่สุด เพื่อให้การทุ่มเงินลงไปกับโฆษณาต่างๆ ไม่สูญเปล่า และการจะรู้ได้ว่า สื่อ Social Media ไหนเหมาะกับธุรกิจของคุณ เจ้าของธุรกิจจะต้องเข้าใจความแตกต่างของแต่ละช่องทางของ Social Media ก่อนนั่นเอง

ความแตกต่างของสื่อ Social Media ในการทำ Digital Marketing

เรามาทำความเข้าใจกับ Digital Marketing กันก่อนว่า มีความสำคัญอย่างไรในการทำธุรกิจ? Digital Marketing เป็นการตลาดที่นำเอาเทคโนโลยี หรือสื่อ Social Media เข้ามาช่วยในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายและจำนวนมาก

ที่สำคัญค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการทำ Digital Marketing สามารถเพิ่ม ลด หรือกำหนดค่าใช้จ่ายได้ เพื่อให้ตอบโจทย์กับความต้องการของเจ้าของธุรกิจ และยังสามารถวัดผลได้อย่างแน่นอนด้วย

.

แต่การทำ Digital Marketing นั้นจะต้องถูกวางแผนมาอย่างดีว่า จะสื่อสารอย่างไรให้ถูกใจกลุ่มเป้าหมาย ในช่วงเวลาที่ควร และในงบประมาณที่เหมาะสม ซึ่งการทำ Digital Marketing

ก็มีหลาย Platform ให้คุณเลือก เช่น Facebook, YouTube และ LINE เป็นต้น ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มก็มีจุดเด่นในการทำงานที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

1. Facebook

Facebook เป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ครองแชมป์ทรงอิทธิพลอันดับ 1 ของโลก ด้วยจำนวนผู้ใช้งาน Facebook ที่เข้าถึงโฆษณากว่า 2,121 ล้านคน โดย 43% เป็นกลุ่มผู้หญิง

และอีก 57% เป็นกลุ่มผู้ชาย นอกจากสถิติของโลกแล้ว Facebook ยังเป็น Social Media อันดับ 1 ที่คนไทยเข้าถึงโฆษณาบนสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยจำนวน 50 ล้านคน

.

ในเรื่องของโฆษณา Facebook ไม่ต่างอะไรกับป้าย Billboard ซึ่งเหมาะมากกับการโปรโมทสินค้า เพื่อให้คนเห็นจำนวนมากๆ เหมือนที่คุณมักพบเห็นโฆษณาได้ตามทางเมื่อขับรถนั่นแหละ ดังนั้น ถ้าเจ้าของธุรกิจอยากจะทำ Digital Marketing ต้องศึกษาพฤติกรรมของคนที่ใช้งาน Facebook

เช่น คนใช้ Facebook ส่วนมากจะเป็นคนที่หาอ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆ จากหน้า News Feed ถ้าเป็นการดูวิดีโอ มักจะเป็นวิดีโอแบบสั้นๆ ไม่ยาวมาก เป็นต้น การศึกษาพฤติกรรมแบบนี้ เพื่อวิเคราะห์ว่า กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจคุณใช่คนที่ใช้งานบน Facebook หรือไม่? นั่นเอง

2. Youtube

เว็บไซต์ Youtube เป็นอีกหนึ่งช่องทาง Social Media ที่คนไทยนิยมใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ซึ่งส่วนมากพฤติกรรมของคนที่ใช้ Youtube เหมือนกับการดูโทรทัศน์นั่นแหละ แต่มี Content ให้เลือกได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฟังเพลง รายการโชว์ สารคดี การ์ตูน และอื่นๆ

.

Youtube จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทาง Social Media ที่น่าสนใจสำหรับเจ้าของธุรกิจที่อยากทำการตลาด เพราะพฤติกรรมของผู้ใช้ Youtube คือ คนที่ตั้งใจเข้ามารับชมวิดีโอแบบยาวๆ ดังนั้น สำหรับเจ้าของธุรกิจที่อยากทำการตลาด เพื่อเป็นสร้างการรับรู้ให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

อาจสร้างสื่อโฆษณาเป็นวิดีโอที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เจ้าของธุรกิจอยากสื่อสาร เพื่อให้โฆษณานั้นเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด

3. LINE

จากประชากรประเทศไทยทั้งหมด 69 ล้านคน จะมีผู้ใช้ LINE อยู่ 44 ล้านคน โดยจะใช้งาน LINE เฉลี่ย 63 นาที / วัน ตัวเลขพวกนี้ บ่งบอกได้ว่า LINE เป็นอีกหนึ่งช่องทาง Social Media ที่คนไทยนิยมใช้กัน ส่วนมากใช้เพื่อส่งข้อความหากัน และการโต้ตอบกันอย่างรวดเร็ว

.

สำหรับเจ้าของธุรกิจที่อยากใช้ LINE เป็นช่องทางในการทำการตลาด LINE มีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น สามารถเขียนข้อความได้สูงสุด 500 ตัวอักษร สามารถส่งเป็นรูปภาพ และส่งวิดีโอได้ไม่เกิน 5 นาที การส่งข้อความเพียงครั้งเดียวสามารถกระจายไปถึงคนจำนวนมากได้

นอกจากนี้ LINE ยังเหมาะสมมากที่จะใช้สร้างระบบ Customer Relationship Managemen (CRM) เพราะเจ้าของธุรกิจสามารถดูแลและพูดคุยกับลูกค้าได้โดยตรงแบบ 24 ชม.ด้วย

4. Google

เป็นเว็บไซต์อันดับ 1 ที่คนไทยใช้มากที่สุด ทำหน้าที่เหมือนสมุด Yellow Pages ในสมัยก่อน ที่เป็นแหล่งรวบรวมรายชื่อธุรกิจ สินค้า และบริการ โดยจะเรียงเรียงข้อมูลไว้เป็นหมวดหมู่

คุณอาจเคยได้ยินคนพูดกันว่า ‘ไม่รู้อะไรให้ไปถาม Google สิ’ ประโยคนี้เป็นการสะท้อนพฤติกรรมของคนใช้ Google ว่าเป็นเว็บไซต์ยอดนิยมสำหรับการเสิร์ชหาข้อมูลทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้

 .

สังเกตจากพฤติกรรมของคนใช้ Google คือ เขามักจะหาคำหรือข้อมูลที่เขาอยากจะรู้ ดังนั้น เจ้าของธุรกิจ คุณควรให้ความสำคัญกับการเสิร์ชหาข้อมูล Search Engine หรือ Keyword เพื่อให้คนเสิร์ชข้อมูลแล้วพบสินค้าหรือธุรกิจของคุณเป็นอันดับแรกๆ

นึกถึงกลุ่มเป้าหมายเพื่อทำ Digital Marketing ให้ประสบความสำเร็จ

พออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เจ้าของธุรกิจคงเกิดคำถามว่าแล้วธุรกิจของคุณเหมาะกับการทำ Digital Marketing ช่องทาง Social Media ไหนกันแน่? เพราะแต่ละช่องทาง Social Media ก็เจาะกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน

อย่างไรก็ดี คำตอบที่คุณตามหา คือ การจะทำ Digital Marketing ให้ประสบความสำเร็จนั้น คุณต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณว่าเป็นคนประเภทใด ชอบอ่านข้อความ ชอบดูรูปภาพ หรือชอบดูวิดีโอสั้นหรือยาวมากกว่ากัน

.

ข้อคิด: ทั้ง Facebook และ Youtube ต่างเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถโพสต์วิดีโอได้เหมือนกัน แต่คุณรู้สึกถึงความต่างของกลุ่มเป้าหมายไหม? ในกลุ่มเป้าหมายของ Youtube ชัดเจนว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความ

ตั้งใจเข้าเว็บไซต์เพื่อรับชมวิดีโอ ดังนั้นพฤติกรรมการเสพ Youtube จึงเป็นการดูวิดีโอได้จนจบ แตกต่างจาก Facebook ที่คนดูวิดีโอส่วนมากจะเห็นวิดีโอผ่าน “News Feed” ซึ่งบางคนดูแบบผ่านๆ ไม่ได้ตั้งใจดูจนจบด้วยซ้ำ

และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คุณต้องคิดและวิเคราะห์ว่า คุณควรใช้ Social Media ไหนเพื่อทำ Digital Marketing ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ

.

.

หากคุณกำลังมองหาช่องทางการสร้างรายได้ เพิ่มยอดขายด้วยการใช้ Social Media เพื่อสร้างแผนการตลาดแบบ Digital Marketing ให้ยั่งยืนด้วยตัวคุณเอง.. 

เราขอแนะนำงานสัมมนา Digital Marketing for SMEs คือ หลักสูตรที่จะช่วยเจ้าของธุรกิจเรียนรู้เคล็ดลับพิเศษและกลยุทธ์ที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้จริงในการทำ Digital Marketing ที่คุณสามารถทำเองได้  เลือกงบประมาณที่พอใจ  และสร้างยอดขายได้จริง  ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมว่าสัมมนานี้จะช่วยธุรกิจคุณได้อย่างไร >> คลิกที่ Banner ด้านล่างได้เลย!

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

Business Experts Ep.1 – “Customer Insights :ทำอย่างไรจะรู้ใจลูกค้าได้มากขึ้น” | อาจารย์ ดร. ชมพูนุท ผ่องจิตร์

Business Experts Ep.1 – “Customer Insights :ทำอย่างไรจะรู้ใจลูกค้าได้มากขึ้น” | อาจารย์ ดร. ชมพูนุท ผ่องจิตร์

Business Experts Ep.1 – “Customer Insights:ทำอย่างไรจะรู้ใจลูกค้าได้มากขึ้น” 

22 มกราคม 2563 | จัดทำโดย Pan Pho Production.

Customer Insights คืออะไร?

พบกับ อาจารย์ ดร. ชมพูนุท ผ่องจิตร์ อาจารย์อาจารย์กลุ่มสาขาวิชาบริหารธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่จะมาเจาะลึกวิธีคิดและกลยุทธ์การค้นหา Customer Insights ที่ใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจในยุคที่การตลาดออนไลน์นั้นมีการแข่งขันอย่างสูง พร้อมกับฟังประสบการณ์วิธีการสร้าง Customer Insights แบบง่ายๆ ที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป

ติดตาม Business Experts ได้ทุกวันพุธเว้นพุธ เวลา 19:00 น.ได้ทาง PanPho.com

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

4 เรื่องที่ “คนอยากรวย” ควรทำ

4 เรื่องที่ “คนอยากรวย” ควรทำ

4 เรื่องที่ “คนอยากรวย” ควรทำ

20 มกราคม 2563 | เขียนโดย Pan Pho Team.

ใครบ้างไม่อยากรวย? ทุกคนอยากร่ำรวย  อยากมีอิสรภาพทางการเงิน คนที่ฝันและตั้งเป้าหมายแค่อยากมีเงินใช้เลี้ยงชีพให้เพียงพอ ก็จะหารายได้แบบพอเพียง  แต่บางคนมีฝันที่ยิ่งใหญ่ อยากรวย อยากมีพร้อมทุกสิ่งอย่าง รอบล้อมด้วยความหรูหรา ฝันที่ยิ่งใหญ่ก็ต้องมาพร้อมกับการหารายได้ที่ใหญ่ยิ่งด้วยเช่นกัน  ซึ่งเขียนให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้

ชีวิตธรรมดา  =  มีรายได้แบบธรรมดาก็พออยู่ได้
ชีวิตหรูหรา  =  มีรายได้ระดับเหนือธรรมดาถึงจะอยู่ได้

แต่ความเป็นจริงในชีวิตสังคมปัจจุบันคนส่วนใหญ่ที่อยากรวยก็ไม่รอให้มีรายได้ก่อน  แต่ตัดสินใจใช้ “ชีวิตหรูหรา แต่มีรายได้ธรรมดา” (โดยเฉพาะคนเมือง)

จึงทำให้ยิ่งห่างไกลความร่ำรวยมากยิ่งขึ้น  หนำซ้ำทำให้ชีวิตตกต่ำกลายเป็นหนี้สิน  เพียงเพราะคนเหล่านั้นไม่รู้เทคนิคที่คนรวย “คิด” และ “ทำ” จึงไม่เคยเข้าใกล้ความรวย

T.Harv Eker ผู้เขียนหนังสือถอดรหัสลับสมองเงินล้านและผู้คิดค้น Millionaire Mind Intensive ที่โด่งดังไปทั่วโลกกล่าวไว้ว่า “การบริหารเงินจนกลายเป็นนิสัย ย่อมมีความสำคัญกว่าจำนวนเงินที่เราบริหาร”

แล้วคุณบริหารเงินของคุณอย่างไร?
ลองถามตัวคุณเองสิว่า  คุณใช้เงินก่อนแล้วค่อยออม? หรือ คุณออมเงินก่อนแล้วค่อยใช้?

ทุกคนมี 24 ชั่วโมงเท่ากันไม่ว่าจะจนหรือรวย  แต่ทำไมจึงมีผลลัพธ์ทางการเงินแตกต่างกันสุดขั้ว!?

เรียนรู้ 4 เทคนิคที่ “คนอยากรวย” ควรทำ  เพื่อให้เปลี่ยนสถานะเป็นคนรวยได้

เรื่องที่ 1 : เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องเงินและการลงทุน

คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการเก็บเงิน  แต่กลัวที่จะนำเงินที่เก็บออมไปลงทุน เพราะการลงทุนแทบทุกประเภทมีความเสี่ยง แต่หากเก็บเงินไว้ในบัญชีธนาคารโดยรอรับแต่ดอกเบี้ยเงินฝากนั้น  “เงินของคุณมีมูลค่าลดลง” เหตุที่ลดลงเพราะดอกเบี้ยที่ได้รับจากการฝากเงินนั้นน้อยกว่า “อัตราเงินเฟ้อ”

อัตราเงินเฟ้อคืออะไร? อัตาราเงินเฟ้อ คือ เงินที่คุณเก็บไว้มีมูลค่ามีน้อยลง ยกตัวอย่างเช่น

25 บาท เมื่อ 20 ปีก่อน สามารถซื้อข้าวราดแกงได้ 1 จาน
25 บาท ปัจจุบันนี้ต้องใช้เงิน 40 บาท ถึงจะซื้อข้าวราดแกงได้

ยิ่งเก็บเงินโดยไม่ลงทุนใดๆ เลย มูลค่าเงินที่ถือไว้อยู่จะลดลงไปเรื่อยๆ

ความฉลาดทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญถ้า “อยากรวย” ซึ่งจำเป็นต้องหาความรู้เกี่ยวกับเงินและการลงทุน

ปัจจุบันนี้การลงทุนมีหลากหลายรูปแบบมากกว่าในอดีต  ทำให้สามารถเก็บเงินและลงทุนไปโดยมูลค่าของเงินจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ล่วงผ่านไป

ความรู้เรื่องเงินและการลงทุนเป็นพื้นฐานที่สำคัญก่อนที่จะนำเงินที่มีไปลงทุน  กุญแจสำคัญของการเพิ่มเงินให้รวยเร็วขึ้นคือ “ความรู้ในการลงทุน” ยิ่งมีความรู้ด้านการลงทุนมากขึ้นเท่าใด ยิ่งทำให้เงินที่มีอยู่เพิ่มมูลค่าและงอกเงยได้มากขึ้นเท่านั้น

เรื่องที่ 2 : แบ่งเงินเพื่อใช้จ่ายและลงทุนอย่างเป็นระบบ

คนส่วนใหญ่เมื่อได้เงินเดือนหรือรายได้มาก็จะนำไปชำระให้กับค่าใช้จ่ายก่อนที่จะนำเงินไปออมหรือลงทุน   โดยมีความคิดและปฏิบัติเป็นอัตโนมัติมาตลอดว่า “ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายก่อน”  แล้วเมื่อไรเงินเหลือถึงจะมานำมาออมหรือลงทุน

ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือ หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วไม่เคยเหลือเงินที่จะมาออมเลย

T.Harv Eker ต้นฉบับผู้สอนวิธีการเก็บเงินแบบ 6 กระปุก ที่ทำให้คนมากมายหลุดพ้นจากการเป็นหนี้ ช่วยให้คนร่ำรวยจากการเก็บเงินแบบง่ายๆ นี้มาแล้วหลายล้านคนทั่วโลก 

เพียงแบ่งเงินออกเป็นประจำหรือทุกๆ เดือนก็สามารถทำให้ “คนอยากรวย” มีฝันที่เป็นจริงได้

วิธีการเก็บเงินแบบ 6 กระปุกแบบง่ายๆ

กระปุกที่ 1 : กระปุกความจำเป็น NEC (Necessities Jar) 55% คือ เงินที่คุณต้องใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทั่วไป

กระปุกที่ 2 : กระปุกแห่งอิสรภาพทางการเงิน FFA (Financial Freedom Account Jar) 10% คือ เงินที่คุณต้องเก็บออมเพื่ออิสรภาพทางการเงิน

กระปุกที่ 3 : กระปุกเงินออมระยะยาวเพื่อการใช้จ่าย LTSS (Long-Term Saving for Spending Jar) 10% คือ เงินที่คุณต้องเก็บออมระยะยาวเพื่อการใช้จ่าย

กระปุกที่ 4 : กระปุกการศึกษา EDU (Education Jar) 10% คือ เงินที่คุณต้องเก็บออมเพื่อการศึกษา

กระปุกที่ 5 : กระปุกเงินใช้เล่น PLAY (Play Jar) 10% คือ เงินที่คุณต้องใช้เพื่อความสุขของตัวเอง

กระปุกที่ 6 : กระปุกแห่งการให้ GIVE (Give Jar) 5% คือ เงินที่คุณต้องเก็บไว้เพื่อการแบ่งปัน

ดูวิธีการเก็บเงินแบบ 6 กระปุกเพิ่มเติมได้ที่ bit.ly/2RaHlmY

เรื่องที่ 3 : เริ่มลงทุนจากเล็กไปใหญ่ น้อยไปมาก

คนส่วนใหญ่หวังจะลงทุนด้วยเงินเพียงเล็กน้อยแต่ได้ผลตอบแทนมากกว่าที่ลงทุนหลายเท่า  หากตั้งใจที่จะร่ำรวยแล้วต้องเริ่มต้นศึกษาการลงทุนที่ง่ายๆ ก่อน และลองลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำเพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์จริง และ ผลตอบแทนที่ได้รับ

เมื่อเข้าใจวิธีการและผลตอบแทนที่ได้รับแล้ว ก็เริ่มลงทุนมากขึ้นตามลำดับเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น

T.Harv Eker บอกไว้ว่า ถ้าลูกของคุณไม่สามารถถือไอศกรีมโคน 1 ลูกได้ ก็อย่าให้เค้าถือไอศกรีม 3 ลูกเด็ดขาด

การลงทุนก็เช่นกัน หากยังไม่สามารถบริหารเงินลงทุนก้อนเล็กได้ ให้เริ่มเรียนรู้ความเสี่ยงในแต่ละระดับให้เข้าใจก่อนและสร้างความชำนาญเพิ่มขึ้น

อย่าเพิ่งนำเงินที่มีอยู่ไปลงทุนทีเดียวหมดหรือหลงเชื่อว่าใครจะนำเงินของคุณไปสามารถเพิ่มมูลค่าให้มากมาย  เพราะมีตัวอย่างมากมายที่เกิดขึ้นในการใช้กลโกงการลงทุนซึ่งทำให้มีผู้เสียหายจำนวนมาก

กุญแจสำคัญคือ : อย่าโลภ และเริ่มลงทุนจากเล็กไปใหญ่

เรื่องที่ 4: เปลี่ยนวิธีคิดและทำให้เป็นแบบคนร่ำรวย

ถ้าคุณอยากเรียนเก่งคุณต้องรู้ว่าคนเรียนเก่ง “คิดและทำ” อย่างไร

ถ้าคุณอยากรวยคุณต้องรู้ว่าคนรวย “คิดและทำ” อย่างไร

T.Harv Eker ใช้เวลาหลายปีในการศึกษาอย่างจริงจังถึง “วิธีคิด” และ “วิธีทำ” ที่คนรวยใช้ชีวิตและสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวย และสิ่งที่ค้นพบคือ

คนรวย มีวิธีคิดไม่เหมือนคนจน
คนรวย มีวิธีทำไม่เหมือนคนจน

สิ่งที่จะเปลี่ยนผลลัพธ์เรื่องเงินได้อย่างรวดเร็ว คือ เปลี่ยนวิธีคิดทางการเงินก่อน
ถ้าอยากประสบความสำเร็จด้านใดให้ลองหาความรู้หรือหาต้นแบบวิธีคิดทางการเงินเพื่อศึกษาดูว่าคนเหล่านั้นประสบความสำเร็จได้อย่างไร

วิธีคิดทางการเงินแบบคนรวย  =  ความรวย(ประสบความสำเร็จ)

วิธีคิดทางการเงินแบบคนจน  =  ความจน(ยังไม่ประสบความสำเร็จ)

ใช้เวลาสักพักลองทบทวน “ผลลัพธ์ทางการเงิน” ที่คุณมีในปัจจุบันว่าผลลัพธ์ที่คุณมีอยู่นั้นเป็นที่น่าพอใจหรือยัง

ถ้าผลลัพธ์ทางการเงินนั้นยังไม่เป็นที่น่าพอใจ  นั่นอาจเป็นเพราะ “วิธีคิดทางการเงิน” ที่มีอยู่ไม่สนับสนุนให้คุณร่ำรวย

เปลี่ยน “คนอยากรวย” ให้กลายเป็น “คนรวย” ด้วยวิธีคิดใหม่

จนถึงตอนนี้ คุณคงรู้แล้วว่า “วิธีคิดทางการเงิน” นั้นสำคัญมากแค่ไหน ไม่เพียงแต่จะทำให้ชีวิตคุณมีความมั่นคงและมั่งคั่งเพิ่มมากขึ้น แต่ยังส่งผลดีไปถึงคนรอบข้างของคุณอีกด้วย  

เพียงเริ่มศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องเงิน การเก็บเงิน การลงทุน และที่สำคัญที่สุด คือ วิธีคิดทางการเงิน  คุณก็ได้เริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางแห่งอิสรภาพทางการเงินได้อย่างแน่นอน

ปล. หากคุณกำลังมองหาการตั้งเป้าหมายทางการเงินอย่างเป็นระบบพร้อมเรียนรู้เทคนิคการสร้างความสำเร็จทางชีวิตและการเงิน สัมมนา Millionaire Mind Intensive คือคำตอบของคุณ อัดแน่นด้วยความรู้ ประสบการณ์ และเคล็ดลับตลอด 3 วันที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตและการเงินของคุณไปตลอดกาล

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

เผย 7 กลยุทธ์สร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในยุควิกฤตเศรษฐกิจ

เผย 7 กลยุทธ์สร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในยุควิกฤตเศรษฐกิจ

เผย 7 กลยุทธ์สร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในยุควิกฤตเศรษฐกิจ

13 มกราคม 2563 | เขียนโดย Pan Pho Team.

เมื่อการทำธุรกิจไม่เคยสร้างผลกำไรอย่างที่คุณตั้งใจไว้ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ

การทำธุรกิจเป็นเรื่องที่คนหลายคนนั้นต่างเบือนหน้าหนี เพราะด้วยความยุ่งยาก ไหนจะหาเงิน ลดค่าใช้จ่าย หาสินค้ามาขาย หรือแม้กระทั่งจัดการการทำงานของคนในองค์กร ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น

ซึ่งนั่นเองทำให้หลายต่อหลายบริษัทนั้นพยายามที่จะลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกิจให้น้อยลงเพื่อทำให้ธุรกิจมีกำไร แต่ถึงอย่างนั้น มันก็อาจจะเป็นสิ่งที่กลับมาทำร้ายธุรกิจของคุณอยู่ก็เป็นได้

คุณเคยสังเกตตัวเองไหมว่าส่วนมากคุณมักจะเสียเวลาทั้งหมดไปกับความกังวลในเรื่องของค่าใช้จ่าย ไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้างพนักงาน ค่านู้นค่านี้เต็มไปหมด รวมถึงหนี้สินต่างๆ ที่กู้ยืมมาลงทุน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณไม่มีเวลาคิดหาวิธีการสร้างรายรับและผลกำไร

ดังนั้น หากคุณอยากให้ธุรกิจของคุณเติบโตขึ้นเป็น 100 เท่า 1,000 เท่า คุณต้องปรับกลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้า เพ่งความสนใจไปที่การสร้างผลกำไรและทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ เพราะถ้าหากคุณมัวแต่ลดค่าใช้จ่ายของธุรกิจคุณ คุณจะพบว่าคุณกำลังทำการแช่แข็งธุรกิจของคุณไม่ให้โตอย่างที่คุณตั้งใจไว้

ซึ่งในบทความนี้ เราจะมาสรุป 7 กลยุทธ์ทางธุรกิจที่จะช่วยทำให้ธุรกิจของเราเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และสร้างกระแสเงินสดได้อย่างเป็นระบบ

7 กลยุทธ์สร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

1. ริเริ่มความคิดใหม่ไม่เหมือนใคร

หากเปรียบธุรกิจเป็นต้นไม้ การสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จก็เหมือนผลลัพธ์ของการขยันรดน้ำพรวนดิน แต่ต้นไม้จะเติบโตได้ คุณต้องเริ่มจากการเพาะเมล็ดก่อน ซึ่งเมล็ดพันธุ์นั้นคือ Idea หรือ ความคิด วิธีการที่คุณจะสร้างไอเดียใหม่ ๆ ได้

อาจเริ่มจากการมองสิ่งรอบตัวหรือสิ่งที่คนรอบข้างให้ความสนใจ พูดคุยหรือแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนร่วมงาน สิ่งที่มีแนวโน้มว่าในอนาคตจะเป็นที่ต้องการของตลาด หรือแม้กระทั่งการนำไอเดียที่มีอยู่แล้วมาต่อยอด พัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

ยกตัวอย่าง Brian Chesky และ Joe Gebbia เกิดไอเดียการหาเงินในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจของอเมริกาปี 2008 โดยการเอาห้องของตัวเองมาปล่อยเช่าราคาถูกให้กับคนแปลกหน้าและกลายเป็น Airbnb ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ช่วยให้ผู้ประกอบการทำเงินได้หลายบาทเลยทีเดียว

2. หาเหตุผลในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

เมื่อคุณได้ไอเดียแล้วว่าอยากจะทำอะไร คุณต้องคิดต่อว่าจะทำธุรกิจนี้ไปเพื่ออะไร? เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองหรือเพื่อช่วยเหลือคนอื่นแก้ไขปัญหา เหมือนอย่างที่ Katherine Krug เจ้าของธุรกิจ BetterBack เริ่มไอเดียธุรกิจจากอาการปวดหลังของเธอเมื่อต้องนั่งทำงานนาน ๆ

นอกจากนี้เธอยังคิดว่าธุรกิจ BetterBack สามารถสร้างเม็ดเงินให้กับเธอแน่ๆ เพราะยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องทนทรมานกับอาการปวดหลังเช่นเธอ ธุรกิจ BetterBack ของเธอจึงประสบความสำเร็จและกลายเป็นธุรกิจเงินล้านในที่สุด

3. ตั้งใจผลิตสินค้าให้ตรงตามมาตรฐาน

หลังจากคุณได้ทั้งไอเดียและเหตุผลในการทำธุรกิจแล้ว ‘Product’ หรือตัวสินค้า เป็นสิ่งที่คุณต้องเริ่มมองว่าจะให้ออกมาเป็นอย่างไร เช่น ลักษณะรูปร่าง โดยคิดถึงการออกแบบรูปลักษณ์ที่สวยงาม เพราะรูปลักษณ์ก่อให้เกิดปฏิกิริยาการตอบสนองแบบฉับพลัน

ส่งผลให้ลูกค้าตัดสินใจว่าสินค้านี้ดีหรือไม่ดี  ปลอดภัยหรือไม่  สวยหรือไม่สวย  ชอบหรือไม่ชอบ นอกจากนี้คุณจำเป็นต้องใส่ใจในทุกรายละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อให้สินค้าถูกผลิตออกมาได้ตรงตามมาตรฐานที่วางไว้

4. การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

เมื่อธุรกิจของคุณเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ขั้นตอนต่อไปคือคิดวิธีการว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าของคุณเข้าถึงตัวลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมายของคุณ โดยคุณต้องรู้ว่าจุดแข็งและจุดอ่อนของสินค้าคุณคืออะไร

ยกตัวอย่าง เช่น จุดแข็งของสินค้าคุณ คือ เป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงมาก ใช้วัสดุอย่างดี จึงกลายเป็นข้อเสียเปรียบในด้านราคาที่แพงกว่าท้องตลาด เพราะกระบวนการผลิตที่ยากและทำให้ส่งผลต่อราคาสินค้านั่นเอง แล้วจะทำอย่างไรให้ลูกค้าซื้อสินค้าของคุณแทนเจ้าอื่น นั่นคือการยื่นข้อเสนอดีๆ ให้ลูกค้า

5. ยื่นข้อเสนอจูงใจลูกค้า

การจะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อของคุณแทนเจ้าอื่น มาจากการยื่นข้อเสนอเพื่อจูงใจลูกค้า ไม่อย่างนั้นการสร้างธุรกิจของคุณจะเปล่าประโยชน์ ถ้าไม่สามารถขายสินค้าได้

ดังนั้นเมื่อคุณมีทุกอย่างพร้อมแล้ว  มาถึงขั้นตอนการขาย คุณต้องทำข้อเสนอการขายให้แก่ลูกค้า และในฐานะที่คุณเองก็เคยเป็นผู้บริโภคสินค้าอื่นมาก่อน

คงเข้าใจดีว่าเรื่องของ ‘ราคา’ เป็นเรื่องอ่อนไหวในการซื้อ-ขาย ดังนั้นเมื่อคุณมีการเสนอการขายควรใส่โปรโมชันเป็นทางเลือกแยกเป็นข้อๆ อย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายและตรงกับความต้องการที่สุด

รวมถึงการทำการตลาดที่ต้องเข้าถึงลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของคุณ เช่น โฆษณา Workshop และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้ลูกค้าเกิดแรงจูงใจและสนใจตัวสินค้าและซื้อสินค้าของคุณ

6. ปิดการขายกับลูกค้าให้สำเร็จ

ขั้นตอนของการปิดการขาย เรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจก็ว่าได้ เพราะเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะชักชวนให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือร่วมทำธุรกิจกับคุณ แต่จะปิดการขายได้ต่อเมื่อลูกค้าเกิดความสบายใจและไว้วางใจในการใช้สินค้า

ตัวอย่างเทคนิคการปิดการขายที่เป็นที่นิยม คือ การใช้วาทศิลป์ในการขาย พูดถึงประโยชน์ของตัวสินค้า ความจำเป็นและความสำคัญให้เชื่อมโยงกับตัวลูกค้า ผลตอบแทนที่เขาจะได้รับจากการร่วมธุรกิจหรือซื้อสินค้าของคุณ

7. ติดตามผลหลังการขายเพื่อประเมินความพึงพอใจ

การปิดการขายบางอย่างอาจใช้เวลามากกว่าปกติ หรือใช้เวลาหลายปีหลังจากการขาย ซึ่งต้องอาศัยการติดตามการขายเข้ามาช่วยกระตุ้นด้วย หรือถ้าคุณปิดการขายได้สำเร็จ

การติดตามผลหลังการขายเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่คุณต้องทำ อาจจะเป็นการโทรศัพท์หาลูกค้าเพื่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ ว่าลูกค้ามีความพึงพอใจในสินค้าของคุณมากน้อยแค่ไหน เพื่อนำไปพัฒนาหรือปรับปรุงตัวสินค้าให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสในการสร้างสัมพันธ์อันดี เพื่อเสริมสร้างความพึงพอใจและสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าว่าธุรกิจของคุณจะให้การดูแลเอาใจใส่ลูกค้าเป็นอย่างดี

 

การสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จไม่เคยเกิดขึ้นจากปาฏิหาริย์ แต่จะเกิดขึ้นแน่ๆ จากความพยายามของคุณ หากคุณลองปรับธุรกิจตาม 7 กลยุทธ์ของเราแล้ว การสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าที่คุณคิด และสามารถดึงดูดลูกค้าให้สนใจซื้อสินค้ากับคุณจนขยายกลายเป็นธุรกิจที่เติบโตขึ้นเป็น 100 เท่า 1,000 เท่า

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

Remarketing อาวุธลับสำหรับธุรกิจออนไลน์

Remarketing อาวุธลับสำหรับธุรกิจออนไลน์

Remarketing อาวุธลับสำหรับธุรกิจออนไลน์

6 มกราคม 2563 | เขียนโดย Pan Pho Team.

รวมเรื่องที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการทำ Remarketing บนโลกของการตลาดออนไลน์ ที่จะช่วยทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถลดค่าใช้จ่าย เพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

การใช้ Remarketing เป็นอาวุธลับของนักการตลาดออนไลน์ในการที่จะช่วยให้การยิงโฆษณาลงโซเชียลมีเดียไม่เปล่าประโยชน์อีกต่อไป

คุณทราบไหมว่ากว่า 96% ของคนที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณและ 70% ของคนที่เห็นโฆษณาบน Facebook ไม่ทำอะไรนอกจากกด Like กด Share  หรือเพียงแค่คลิกเข้ามาดูเฉยๆเท่านั้น และมีเพียงแค่ 0.05% ของจำนวนคนเหล่านั้น ที่ตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณ ช่างเป็นตัวเลขที่ทั้งน่าตกใจและน่ากลัวสำหรับเจ้าของธุรกิจอย่างเราๆ ที่มีงบประมาณในการยิงโฆษณาจำกัด

.

เพราะปัจจุบันหากคุณลองคำนวณเล่นๆ ดูว่าคุณเสียค่าโฆษณาออนไลน์ไปเป็นจำนวนเท่าไหร่ต่อเดือน และเทียบกับผลลัพธ์ของการปิดการขายและเงินที่ได้ เรียกได้ว่าแทบจะลมจับกันเลยทีเดียว

.

และในปัจจุบันที่ค่าโฆษณาบน Platform ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook Youtube Google ฯลฯ นั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นั่นจึงทำให้การทำโฆษณาและการเลือกกลุ่มเป้าหมายนั้นจำเป็นที่จะต้องมีวิธีคิดและวิธีการบริหารจัดการงบอย่างมีชั้นเชิงมากขึ้น

.

ดังนั้นเครื่องมืออะไรหล่ะที่จะทำให้เจ้าของธุรกิจอย่างเราๆ นั้นสามารถยิงโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และใช้เงินค่าโฆษณาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดหล่ะ แถมยังไม่ต้องกังวลว่ากลุ่มเป้าหมายจะตรงต่อสินค้าของคุณหรือไม่!!

.

ในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ ‘Remarketing’ เครื่องมือและกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ที่เรียกได้ว่าเป็นอาวุธลับของนักการตลาดออนไลน์และเจ้าของธุรกิจที่มีงบจำกัด

‘Remarketing’ คืออะไร

อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ‘Remarketing’ เป็นวิธีการที่คุณนำเสนอโฆษณาไปหากลุ่มคนที่สนใจในตัวสินค้าของคุณอยู่ก่อนแล้วเพื่อให้เขาเห็นสินค้าบ่อยขึ้นและเกิดความคล้อยตาม เช่น เมื่อมีคนเข้าเว็บไซต์ Alibaba, Taobao และ Lazada เพื่อเข้าชมสินค้าแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ เมื่อเขาออกจากหน้าเว็บไซต์ เขาจะยังคงเห็นสินค้าที่เข้าชมเหล่านั้นมาปรากฏในหน้า Feed บน Platform ต่างๆ ของเขา เหมือนจิตวิทยาว่าถ้าเห็นอะไรซ้ำๆบ่อยๆ จะมีแนวโน้มให้ความสนใจมากขึ้น และเขาจะหาข้อมูลจากการทำโฆษณาของคุณเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งที่เขาเห็นสินค้าเหล่านี้เกิดจากการทำ Remarketing นั่นเอง

.

ซึ่งเมื่อลองทำการทดสอบระหว่าง Campaign ที่ 1 ด้วยวิธีการยิงโฆษณาตรงๆ กับ Campaign ที่ 2 ด้วยวิธีการยิงโฆษณาตรงๆ เช่นกันเพื่อหากลุ่มเป้าหมายใหม่และทำ Remarketing ควบคู่ไปด้วย ทั้ง 2 Campaign ใช้งบประมาณที่เท่ากัน ผลปรากฏว่า Campaign ที่ 2 สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า Campaign ที่ 1 ถึง 200%

4 ประโยชน์ในการใช้ Remarketing เพื่อกระตุ้นยอดขายสำหรับธุรกิจออนไลน์

1. Remarketing จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการโฆษณาให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสซื้อได้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งเป็นเรื่องยากและท้าทายสำหรับการยิงโฆษณาเพียงครั้งเดียวแล้วสามารถขายได้เลย การยิงโฆษณาตรงๆ ไม่ก่อให้เกิดการขายเพราะโดยปกติแล้ว ผู้ใช้งานโฆษณาบน Facebook มักจะตั้งค่าโฆษณาของตัวเองให้กว้างเข้าไว้ โดยไม่รู้เลยว่า คนกลุ่มนี้มีความสนใจในสินค้าและบริการในระดับที่ต่างกัน

.

แต่สำหรับการทำ Remarketing นั้นแตกต่างออกไป เพราะจะทำให้คุณยิงโฆษณาไปหากลุ่มคนที่ให้ความสนใจในสินค้าจริงๆ โดยการเก็บข้อมูลจากพฤติกรรมที่พวกเขามีส่วนร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น การเยี่ยมชมเว็บไซต์ การมีส่วนร่วม หรือแม้แต่การรับชมวีดิโอ ซึ่งเมื่อเราสามารถเข้าใจถึงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสซื้อสินค้าของคุณ ก็จะสามารถทำงานกับคนเพียงกลุ่มเล็กๆได้อย่างมีคุณภาพและโฆษณาจะไม่ไปรบกวนกลุ่มคนที่ไม่ใช่เป้าหมายของคุณนั่นเอง

.

ถ้าจะให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้น การยิงโฆษณาบน Facebook นั้นเปรียบเสมือนกับการซื้อโฆษณาเป็นป้ายบิลบอร์ด ซึ่งเราอาจจะเลือกทำเลและกลุ่มคนได้ในระดับหนึ่ง แต่เราไม่สามารถแยกแยะออกมาได้เลยว่า ใครมีความสนใจในสินค้าเราจริงๆกันแน่ ในขณะที่การทำ Remarketing คือการกรองคนที่มีความสนใจในสินค้าของคุณในระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าพวกเขายังไม่เกิดการตัดสินใจ

ข้อคิด: สิ่งที่เจ้าของธุรกิจมักผิดพลาดกันคือพวกเขาไม่รู้ว่าจริงๆแล้วนั้น กลุ่มเป้าหมายที่พวกเขากำลังสื่อสารอยู่นั้นเป็นใครกันแน่ และยิ่งคุณยังไม่ชัดเจนว่าจริงๆแล้วนั้น ลูกค้าของคุณต้องการอะไรกันแน่ คุณจะไม่สามารถสร้าง Remarketing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมักจะจบลงด้วยการเสียเงินไปอย่างสูญเปล่า

2. ลูกค้าจะจดจำคุณได้ด้วยการสร้าง Branding ผ่าน Remarketing

การทำ Branding ที่มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพนั้น สามารถทำได้ด้วยการใช้ Remarketing แต่ในบางครั้ง บริษัทบางบริษัทก็ทำพลาดอย่างมหันต์และทำให้บริษัทนั้นถูกจดจำไปในเชิงลบ

หากคุณเป็นผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตและชื่นชอบดูเนื้อหาต่างๆบน Youtube คุณจะสังเกตได้ว่า คุณสามารถจำสินค้า บริการจากแบรนด์ ที่มาคั้นรายการโปรดของคุณ ซึ่งนอกจากจะทำให้คุณหงุดหงิดแล้ว การทำ Remarketing แบบส่งเดชแบบนั้น อาจจะทำให้เปลืองค่าใช้จ่ายโดยที่ไม่จำเป็น

จากสถิติการทำโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆนั้น ทำให้เราค้นพบสิ่งที่น่าตกใจก็คือ จริงๆแล้วนั้น หากเราทำ Remarketing ได้อย่างมีหลักการและทำตามกฎของการทำ Customer Journey ได้อย่างถูกต้องแล้ว การทำ Branding ด้วยวิธีการ Remarketing คือทางลัดที่จะทำให้แบรนด์ สินค้า หรือบริการเป็นที่น่าจดจำได้อย่างรวดเร็ว

ข้อคิด: Peng Joon นักการตลาดออนไลน์แถวหน้าของ Asia ได้ให้เคล็ดลับกับเราว่า “จริงๆแล้วคนไม่ได้เกลียดการถูกขายของหรอก เพียงแค่ว่า พวกเขาเกลียดโฆษณาที่ทำมาแบบลวกๆ และไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความสนใจของพวกเขานั่นเอง” ดังนั้น สำหรับการซื้อโฆษณาครั้งถัดไปของคุณ อย่าลืมที่จะตรวจสอบสื่อ วีดิโอ รูปภาพ และวิธีการเขียนก่อนที่จะกดยืนยัน!!

3. Remarketing ช่วยทำให้เจ้าของธุรกิจที่มีหลายช่องทางการขายและสื่อต่างๆ สามารถเชื่อมต่อข้ามเครื่องมือและช่องทาง

ลองถามตัวคุณเองซิว่าครั้งสุดท้ายที่คุณล็อคเอ้าท์ออกจาก Facebook ของคุณคือเมื่อไหร่? และมีโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ของคุณกี่เครื่องบ้างที่ล็อคอินต์เป็นชื่อของคุณ? ซึ่งโดยทั่วไปนั้น หากคุณยิงโฆษณาแบบปกติ กลุ่มเป้าหมายของคุณจะมีโอกาสเห็นโฆษณาของคุณเพียงแค่ครั้งเดียว และมีโอกาสน้อยมากที่จะเห็นครั้งที่สอง ซึ่งนั่นจะทำให้คุณพลาดโอกาสการขายไปอย่างน่าเสียดาย

.
ดังนั้น Remarketing จึงเข้ามาแก้ปัญหาในส่วนนี้ด้วยการล็อคเป้ากลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสซื้อสินค้าของเรา และทำการส่งโฆษณาไปหากลุ่มเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ซึ่งไม่ว่าพวกเขาจะล็อคอินต์เข้าเว็บบนคอมพิวเตอร์หรือแอพลิเคชั่นบนมือถือของเขา โฆษณาของเราก็จะตามไปหาเขาอย่างไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าเป็น “Haunted Marketing (การตลาดแบบหลอกหลอน)” เลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่ากลุ่มเป้าหมายจะไปที่ไหน (โฆษณาของ)เราก็จะตามไปหาเขาทุกๆที่

.

ข้อคิด: บางครั้ง พฤติกรรมของคนที่ซื้อสินค้าออนไลน์นั้นแตกต่างกันออกไปตามประเภทสินค้าและแพลตฟอร์ม ยกตัวอย่างเช่น สินค้าประเภทแฟชั่น ที่มักจะเกิดความสนใจและการหาข้อมูล (Consideration) ระหว่างการใช้งานคอมพิวเตอร์ Desktop แต่ตัดสินใจซื้อและชำระเงินบนโทรศัพท์ Mobile ซึ่งแตกต่างจากสินค้าประเภท IT และ Sport Wear อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น เราจะต้องเข้าใจและศึกษา Customer Journey ของเราให้ดี

4. ประหยัดค่าใช้จ่าย

โดยปกติแล้วนั้น เรามักจะใช้เงินค่าโฆษณาไปเป็นจำนวนมากกับการหาลูกค้าใหม่อยู่เรื่อยๆ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่มักจะได้กำไรน้อยมากจากการขายสินค้าของตัวเอง ในขณะเดียวกันนั้น หากเราใช้กลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจในสินค้าของเราอยู่แล้วนั้น งบโฆษณานั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำมาก โดยสามารถประหยัดได้มากถึง 40%-80% เมื่อเทียบกับการยิงโฆษณาแบบทั่วๆไป 

.
นอกไปกว่านั้น การทำ Remarketing สามารถช่วยทำให้เกิดการซื้อซ้ำ (Repurchase) หรือการทำให้ลูกค้าที่เคยซื้อของเราอยู่แล้ว สามารถกลับมาซื้อสินค้าของเราซ้ำได้อีกเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องเสียเงินมากๆไปกับการหาลูกค้าใหม่ที่มียอดการใช้จ่ายที่น้อยกว่า เมื่อเทียบกับลูกค้าที่รู้จักหรือเคยซื้อสินค้าเราไปแล้ว

.

ดังนั้น หากคุณกำลังตกที่นั่งลำบาก การทำ Remarketing อาจจะเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะช่วยทำให้คุณลดต้นทุนการทำโฆษณาและเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมีระบบและวัดผลได้ โดยที่แทบจะไม่ต้องมีความรู้ด้านการตลาดหรือต้องใช้งบสิ้นเปลืองเพื่อเพิ่มยอดขาย

ข้อคิด: บนโลกของการทำการตลาดออนไลน์ ยิ่งคุณคิดได้มากเท่าไหร่ มีไอเดียมากเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาจะถูกลงตามไอเดียที่คุณมี และรายได้ของคุณจะพุ่งทะยานหากคุณพัฒนาระบบการตลาดอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

Remarketing คือเครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่ถือได้ว่าเป็นเหมือนเครื่องมือทำมาหากินของเจ้าของธุรกิจที่ทำการตลาดออนไลน์ ด้วยประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา ทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของเราได้ สามารถทำโฆษณาได้อย่างต่อเนื่อง เป็นระบบ และมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำ จึงเหมาะจะใช้เป็นอาวุธในการแก้ไขปัญหาการยิงโฆษณาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถช่วยประหยัดงบประมาณและเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจของคุณได้ไม่รู้จบ

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก