ทำไมธุรกิจไทยถึงเริ่มหันมาสนใจสิ่งแวดล้อมกันล่ะ? แล้วเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กต้องใส่ใจไหม?

ทุกวันนี้ คำว่า “ความยั่งยืน” ไม่ใช่แค่คำฮิตที่นักการตลาดหรือไอดอลธุรกิจพูดกันเท่ๆ ในงานสัมมนาหรือสื่ออีกต่อไป แต่มันกำลังจะกลายเป็นส่วนสำคัญในการทำธุรกิจในเวลาอีกไม่กี่ปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่บริษัทต่างๆ หันมาทำธุรกิจแบบ “ยั่งยืน” กันแบบไม่ขาดสายกันเลยในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมานี้

แต่รู้มั้ยว่าที่เป็นแบบนี้ ไม่ได้เป็นเพราะกฎหมายบังคับ (ซึ่งจริงๆ แล้วจะเริ่มบังคับในอีกไม่กี่ปีนี้แล้ว) หรือลูกค้าเรียกร้องอย่างเดียวนะ แต่เป็นเพราะด้วยสัญชาติญาณที่ติดตัวชาวไทยมาช้านาน นั่นคือการที่ “เห็นเพื่อนทำแล้วอยากทำบ้าง” ซึ่งนักวิชาการเรียกพฤติกรรมนี้ว่า “การทำตามๆ กัน” หรือ “พฤติกรรมแบบฝูง (collective behavior)” ซึ่งกำลังเปลี่ยนวิธีคิดของบริษัทไทยทั้งเล็กและใหญ่เกี่ยวกับบทบาทของตัวเองในการดูแลสิ่งแวดล้อม

และสำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก เทรนด์นี้ถือเป็นทั้งแรงบันดาลใจและโอกาสทองเลยทีเดียว มาดูกันดีกว่าว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ และธุรกิจเล็กๆ จะได้ประโยชน์อะไรบ้าง

ทำไมถึงทำตามๆ กัน?

หลายคนอาจคิดว่าที่บริษัทหันมาทำธุรกิจแบบรักษ์โลกก็เพราะอยากทำดีหรือตอบสนองความต้องการของลูกค้า แต่จริงๆ แล้ว การตัดสินใจ “Go Green” ของบริษัทในประเทศไทย  ไม่ได้เกิดจากเพียงว่า “เพราะอยู่ๆ โลกมันร้อน พี่เลยอยากทำเพื่อโลกบ้าง” แต่จากงานวิจัยของผศ. ดร. ธนฤกษ์ ธนกิจสมบัติ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) ได้ให้ความเห็นว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายบริษัทวิ่งเข้าสู่การเป็นบริษัทที่เน้น “ความยั่งยืน” นั้นเกิดจากปัจจัยที่เรียกว่า “การไม่ยอมตกขบวน”

อาการ “การไม่ยอมตกขบวน” นั้น ถ้าให้อธิบายง่ายๆ ก็เหมือนกับที่เราๆ มักรู้สึกอยากทำตามเมื่อเห็นเพื่อนๆ ทำอะไรสักอย่าง ธุรกิจก็เช่นกัน พอเห็นคู่แข่งทำอะไรดีๆ ก็อยากทำบ้าง

ในประเทศไทย เราจะเห็นพฤติกรรมแบบนี้ชัดมากในบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ถ้าบริษัทใหญ่ๆ สักที่เริ่มประกาศนโยบายรักษ์โลก เดี๋ยวอีกสักพักก็มีคนทำตาม (โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเดียวกัน) และนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการอยากดูดี แต่เป็นเพราะมีแรงกดดันทางการแข่งขัน ในตลาด การทำธุรกิจแบบยั่งยืนช่วยดึงดูดนักลงทุน สร้างชื่อเสียงที่ดี และสร้างความผูกพันกับลูกค้าที่รักษ์โลก พูดง่ายๆ คือ พอเห็นคนอื่นได้รับความสนใจและผลตอบแทนดีๆ จากการรักษ์โลก ก็อยากเข้าร่วมวงด้วย

จะรักษ์โลกไปทำไมกัน?

การหันมาทำธุรกิจแบบรักษ์โลกในประเทศไทยไม่ใช่แค่กระแสชั่วครู่ ที่เราอาจบางครั้งเผลอถามตัวเองไปว่า “เราคิดไปเองหรือเปล่าว่าคนไทยดูรักษ์โลกกันจัง” แต่แท้ที่จริงแล้ว กระแสนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนถ่ายทั่วโลก ตอนนี้รัฐบาลและบริษัทต่างๆ ทั่วโลกกำลังปรับตัวให้เข้ากับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) ซึ่งศหลายประเทศปรับใช้ในการคัดกรองการรับเข้า/ ส่งออกสินค้าเพื่อให้แน่ใจว่า โลกจะยังอยู่ให้กับคนรุ่นหลังไปอีกหลายสิบปี ดังนั้นแล้วมาตรฐานพวกนี้ไม่ได้ให้รางวัลแค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ยังรวมถึงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย

เมื่อบริษัทประกาศว่าจะทำตามมาตรฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) ก็เหมือนกับส่งสัญญาณว่า “เราไม่ได้อยากแค่ทำกำไร แต่เราอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีด้วย” ซึ่งเรื่องจะจบลงเพียงแค่เท่านี้ หากการส่งสัญญาณนี้ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ตัวบริษัทเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงคู่ค้าและบริษัทที่มีลูกค้าที่มาจากประเทศที่มีการใช้งานมาตรฐานเหล่านี้อย่างจริงจังก็จะต้องรับรู้และตอบสนองกับ “เราไม่ได้อยากแค่ทำกำไร แต่เราอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีด้วย

และสำหรับประเทศไทยเอง การปรับตัวตามมาตรฐานเหล่านี้เป็นทั้งโอกาสในการสร้างชื่อเสียงและวิธีรักษาความสามารถในการแข่งขันในเศรษฐกิจโลก (ถ้าคุณทำถูกวิธี)

ที่น่าสนใจคือ ในประเทศไทย การรักษ์โลกไม่ได้ทำเพราะกฎหมายบังคับอย่างเดียว แต่มันเข้ากับวัฒนธรรมไทยที่ให้ความสำคัญกับชุมชนและความกลมกลืน สำหรับหลายบริษัท การทำธุรกิจแบบรักษ์โลกเป็นสิ่งที่ “ควรทำ” โดยเฉพาะในยุคที่ทั้งลูกค้าไทยและต่างชาติใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ธุรกิจไทยรักษ์โลกกันยังไงบ้าง?

สำหรับประเทศไทย เวลาบริษัทหนึ่งเริ่มทำอะไรดีๆ เพื่อสิ่งแวดล้อม คนอื่นมักจะทำตามใน 3 เรื่องหลักๆ คือ ลดมลพิษ (Carbon Emission Reduction) สร้างสรรค์สินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Product Innovation) และประหยัดทรัพยากร (Resource Management) มาดูกันว่าแต่ละเรื่องน่าสนใจยังไง

ธุรกิจไทยรักษ์โลกกันยังไงบ้าง?

สำหรับประเทศไทย เวลาบริษัทหนึ่งเริ่มทำอะไรดีๆ เพื่อสิ่งแวดล้อม คนอื่นมักจะทำตามใน 3 เรื่องหลักๆ คือ ลดมลพิษ (Carbon Emission Reduction) สร้างสรรค์สินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Product Innovation) และประหยัดทรัพยากร (Resource Management) มาดูกันว่าแต่ละเรื่องน่าสนใจยังไง

ลดมลพิษ (Carbon Emission Reduction)

วันนี้เรื่องโลกร้อนไม่ใช่แค่ข่าวในทีวีอีกต่อไป แต่กำลังเป็นเรื่องที่แวดวงธุรกิจในประเทศไทยเริ่มหันมาศึกษาอย่างจริงจัง บริษัทต่างๆ ในไทยเริ่มตื่นตัวมากขึ้นกับการลดก๊าซเรือนกระจก ที่น่าสนใจคือ พอบริษัทใหญ่เริ่มประกาศว่าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ บริษัทอื่นๆ ที่มีขนาดหรืออุตสาหกรรมเดียวกันก็มักจะทำตาม เหมือนเป็นแรงกระเพื่อมที่ทำให้ทั้งอุตสาหกรรมต้องขยับตัว บางบริษัทเริ่มจากการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา (หรือเรามักจะได้ยินคำว่า “Carbon Footprint”) เพื่อรู้ว่าต้องปรับปรุงตรงไหนบ้าง

หลายบริษัทเริ่มลงทุนกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ติดแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงงาน เปลี่ยนรถขนส่งเป็นรถไฟฟ้า หรือติดตั้งระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ บางที่ก็ปรับปรุงเครื่องจักรให้กินไฟน้อยลง หรือเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดกว่า แต่ที่น่าสนใจคือ บางบริษัทแค่ปรับเปลี่ยนวิธีทำงานง่ายๆ เช่น วางแผนขนส่งให้ดีขึ้นเพื่อลดการวิ่งรถเที่ยวเปล่า จัดประชุมออนไลน์แทนการเดินทาง หรือตั้งอุณหภูมิแอร์ให้เหมาะสม ก็ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เยอะแล้ว

สร้างสรรค์สินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Product Innovation)

การสร้างสรรค์สินค้าใหม่ๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ตอนนี้ผู้บริโภคไม่ได้แค่อยากได้ของดีต่อกระเป๋าเงินของพวกเขาแล้ว แต่อยากได้ของที่ดีต่อโลกด้วย บริษัทไทยหลายแห่งเลยต้องคิดใหม่ทำใหม่ ออกแบบสินค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อาจจะใช้วัสดุรีไซเคิล ลดบรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น หรือสร้างสินค้าที่ช่วยให้ลูกค้าใช้ชีวิตแบบรักษ์โลกได้ง่ายขึ้น โดยสิ่งเหล่านี้นั้นล้วนแล้วแต่ไม่มีเพียงสามารถช่วยเหลือโลกได้เท่านั้น แต่รวมไปถึงการได้ดึงดูดกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

ดังนั้นแล้ว ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า หลายๆ ผลิตภัณฑ์ที่มีการแข่งขันสูงในประเทศไทย เริ่มออกมาสร้างสรรค์สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ซึ่งหลายๆ ครั้งเราอาจจะรู้สึกว่า “มันฝืน” กับความเป็นจริงของสินค้านั้นๆ ก็ตามแต่) ด้วยเหตุนี้เอง หลายๆ แบรนด์ที่กำลังพยายามออกสินค้าใหม่ๆ จะเป็นต้องตอบคำถามสำคัญให้ได้ว่า “ทำอย่างไรให้สินค้าของเราดีต่อลูกค้า ดีต่อบริษัท และดีต่อโลก”

ประหยัดทรัพยากร (Resource Management)

เราปฎิเสธกันไม่ได้จริงๆ ว่า ทรัพยากรในโลกเรามีความจำกัด แต่ความต้องการไม่จำกัด ธุรกิจไทยกำลังปรับตัวครั้งใหญ่ด้วยแนวคิด “ใช้ให้คุ้ม” หลายบริษัทเริ่มจากการติดมิเตอร์วัดการใช้น้ำ ไฟ และพลังงานในจุดต่างๆ เพื่อหา “จุดรั่วไหล” ที่ใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง พอรู้ว่าตรงไหนใช้เยอะเกินไป ก็หาทางแก้ได้ตรงจุด เช่น บางโรงงานพบว่าท่อน้ำรั่ว ทำให้เสียน้ำไปเปล่าๆ วันละหลายพันลิตร พอซ่อมแล้วก็ประหยัดได้ทันที หรือบางออฟฟิศพบว่าแอร์เก่าทำให้กินไฟเปลือง พอเปลี่ยนเป็นรุ่นประหยัดพลังงาน ค่าไฟก็ลดลงชัดเจน

เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยเรื่องการประหยัดทรัพยากรได้เยอะมาก หลายบริษัทติดตั้งระบบอัตโนมัติที่ช่วยควบคุมการใช้ทรัพยากร เช่น ระบบไฟที่ปิดเองเมื่อไม่มีคนในห้อง ระบบรดน้ำต้นไม้อัจฉริยะที่จะให้น้ำเฉพาะเมื่อดินแห้ง หรือระบบบำบัดน้ำเสียที่นำน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้ แม้จะต้องลงทุนตอนแรก แต่คุ้มค่าในระยะยาว บางบริษัทถึงกับสร้าง “วงจรหมุนเวียน” ในโรงงาน เช่น นำความร้อนที่เหลือจากเครื่องจักรมาอุ่นน้ำ หรือนำน้ำที่ใช้ล้างเครื่องจักรมาล้างพื้นต่อ

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เรามักเห็นในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ คือการสร้าง “วัฒนธรรมประหยัด” ในองค์กร หลายบริษัทจัดกิจกรรมให้พนักงานช่วยกันคิดวิธีประหยัดทรัพยากร เมื่อทุกคนเห็นว่าการประหยัดทรัพยากรไม่ใช่เรื่องของฝ่ายบริหารอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนช่วยกันได้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็มักจะเกินเป้าที่ตั้งไว้เสียอีก

แล้วธุรกิจเล็กๆ จะเอายังไงดี?

ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก อาจจะกำลังคิดว่า “แบบนี้มันเกี่ยวอะไรกับเราด้วย?” เพราะเรื่องพวกนี้ส่วนใหญ่ คุณอาจจะเห็นว่าผู้ขับเคลื่อนส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทข้ามชาติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินเป็นร้อยล้านเพื่อลงทุนเทคโนโลยี กระบวนการเพื่อความยั่งยืนหรอก เพียงแค่เริ่มจากเรื่องเล็กๆ ก็สร้างความเปลี่ยนแปลงได้แล้ว

จริงอยู่ที่คุณอาจจะไม่ได้เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทข้ามชาติ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง กระแสเหล่านี้จะกลายเป็นกฎและข้อบังคับ (ซึ่งเริ่มแล้วในประเทศฝั่งตะวันตก) ดังนั้นจะดีกว่าไหมหากคุณสามารถเริ่มต้นได้จากตัวเองแบบง่ายๆ

ลองเริ่มจากอะไรง่ายๆ เช่น ลดขยะ หรือเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้แสดงให้เห็นว่าคุณจริงจังกับเรื่องความยั่งยืน และช่วยให้คุณแตกต่างจากคู่แข่งในแบบที่เป็นธรรมชาติ (ไม่ฝืน) จะทำให้คุณเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่มากขึ้น ช่วยธุรกิจของคุณให้มีค่าใช้จ่ายที่น้อยลง และยังสามารถช่วยเหลือโลกใบนี้ได้อีกด้วย

อีกเรื่องสำคัญคือการเล่าเรื่องราวของคุณ ลูกค้าชอบความจริงใจ การแชร์ว่าคุณกำลังทำอะไรเพื่อสิ่งแวดล้อมบ้างช่วยสร้างความไว้วางใจและความภักดีต่อแบรนด์ได้ ลองอัพเดทในโซเชียลมีเดีย เขียนบล็อกเล่าการเดินทางสู่การเป็นธุรกิจรักษ์โลกของคุณ หรือทำมุมพิเศษในเว็บไซต์ที่บอกเล่าความมุ่งมั่นของคุณในการดูแลสิ่งแวดล้อม

รัฐบาลและองค์กรต่างๆ ช่วยยังไงได้บ้าง?

ในประเทศไทย ทั้งรัฐบาลและองค์กรต่างๆ กำลังช่วยสนับสนุนความพยายามรักษ์โลกนี้ผ่านการจัดงาน เวิร์คช็อป และสัมมนา เพื่อชี้ให้เห็นข้อดีของการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และชวนให้ธุรกิจอื่นๆ เข้ามาร่วมด้วย การสนับสนุนแบบนี้มีประโยชน์มากสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลางที่อาจจะไม่มีทรัพยากรเท่าบริษัทใหญ่ แต่ก็อยากมีส่วนร่วมในการสร้างผลกระทบเชิงบวก

สำหรับประเทศไทยที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก การหันมาทำธุรกิจแบบรักษ์โลกยิ่งมีความสำคัญ เพราะนักท่องเที่ยวทั่วโลกตอนนี้มักจะเลือกไปเที่ยวที่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม การที่ธุรกิจไทยหันมารักษ์โลกจึงไม่เพียงแต่ช่วยสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น แต่ยังทำให้ประเทศไทยน่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจเรื่องนี้ ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทยด้วย

แล้วต่อจากนี้จะเป็นยังไง?

แม้ว่าตอนนี้เราจะเห็นปรากฏการณ์นี้ชัดในเมืองไทย แต่เชื่อว่าเร็วๆ นี้ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซียก็น่าจะเริ่มทำตามบ้าง เพราะเมื่อเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้โตขึ้นและต้องปรับตัวเข้ากับมาตรฐานโลก พวกเขาก็น่าจะหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมตามๆ กันเหมือนที่เกิดขึ้นในไทย

สำหรับธุรกิจไทย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก นี่คือโอกาสทองที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง การหันมาทำธุรกิจแบบรักษ์โลก แม้จะเริ่มจากเรื่องเล็กๆ ก็ช่วยให้ธุรกิจของคุณแข่งขันได้ดีขึ้น ดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น และมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า ไม่ต้องกลัวว่าจะทำไม่ได้ แค่เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงง่ายๆ และดูตัวอย่างจากคนอื่นในวงการเดียวกัน คุณก็จะพบว่าการทำธุรกิจแบบรักษ์โลกไม่ใช่แค่ทำได้ แต่ยังดีต่อแบรนด์และกำไรของคุณด้วย

ภารกิจของเราคือ ยกระดับชีวิตผู้คนด้วยความรู้คุณภาพ ผ่านประสบการณ์สัมมนาจากสุดยอดนักพูด เจ้าของธุรกิจ และนักสร้างแรงบันดาลใจแถวหน้า เพื่อสร้างผลัพธ์ด้านธุรกิจ ชีวิต และการเงินให้แก่ผู้คน

- PAN PHO TEAM.

บริษัทสัมมนาความรู้เพื่อความสำเร็จอันดับ 1 ของไทย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก